ฝัน 23 มิ.ย. 57

June 23, 2014 Leave a comment

ผมกำลังหนีอะไรสักอย่าง ที่ทำให้ไม่อาจอยู่ในสังคมได้
ผมจำเป็นต้องไปให้ไกล สู่อีกดินแดนหนึ่ง เพื่อเริ่มชีวิตใหม่
ทว่า หนทางเดียวที่จะไป มีเพียงการว่ายน้ำข้ามทะเล โดยไม่รู้ว่าต้องว่ายไกลแค่ไหน

ก่อนถึงทะเล เราก็วิ่งกันมาหลายสิบกิโลเมตรแล้ว ตั้งใจจะนอนงีบสักคืน
ผมถามเพื่อนร่วมอุดมการณ์คนหนึ่งว่า ถ้าเราว่ายต่อไม่ไหว จะให้ทำอย่างไร
“ก็ปล่อยให้ตัวเองจม แล้วค่อยๆ หายไป ความทรงจำก็สิ้นสุด ไม่ต้องดิ้นรนอะไร” คือคำตอบ
ช่างเป็นคำตอบที่ปลงยิ่ง ผมคิด

คืนนั้นเรากินอาหารให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เน้นพวกโปรตีนเป็นหลัก
ก่อนเข้านอน เพื่อนสาวสองคนแวะมาเยี่ยม บอกว่า ในเมืองเขาตามหาพวกผมวุ่นวายกันใหญ่
พวกเธอเอาของใช้จำเป็นสำหรับการข้ามทะเลมาให้ กระเป๋ากันน้ำ สนอร์คเกิ้ล ขนมปังโฮลวีท จีพีเอส วอล์คแมน(!?)

ผมหลับไปประมาณ 3 ชั่วโมง แล้วปลุกเพื่อน 2 คนที่มาด้วยกัน เพราะออกแต่เช้ามืดน่าจะดีกว่า
เรารีบลุกและวิ่งไปทะเล ระหว่างทาง เพื่อนคนหนึ่งพูดขึ้นว่า
“ถ้าดูท่ากูจะไม่ไหว กูขอว่ายกลับได้เปล่าวะ ถือว่ามาส่งพวกมึง” ไม่มีใครตอบอะไร

ผมรู้อยู่แล้วว่าผมต้องรอด เพราะผมฝึกวิชาเดินใต้น้ำมาแล้ว เครื่องกรองออกซิเจนจากน้ำก็มี ผมไม่เคยบอกใครเรื่องนี้

เมื่อเท้าทั้งสามคนเริ่มแตะพื้นน้ำ เพื่อนคนแรกผมบอกว่า “คลื่นสูงแบบนี้ มันน่าโต้คลื่นจริงๆ”
แล้วมันก็ไปโต้คลื่นจริงๆ ส่วนเพื่อนอีกคนก็เอามอเตอร์ไซค์มาจากไหนไม่รู้ ขี้เล่นรอบหาด
ปล่อยผมอ้างว้างไม่มีอะไรทำ ผมจึงหยิบรองเท้าวิ่งมาสวมแล้ววิ่งไปตามแนวชายหาด
จนกระทั่ง… ผมล้มลง และลมหายใจหยุดลง

ทั้งหมดนี่ คือความฝันเมื่อคืน

ไปเป็นบีชบอย หามุมสงบนั่งแปลงานริมทะเล แต่โดนฝรั่งพาเที่ยว ณ เกาะเต่า

April 25, 2014 Leave a comment

(1)

เมื่อนักแปลเดินทางมาหาความสงบนั่งทำงานริมทะเล
เด็กชายวัยเจ็ดขวบเดินมาป้วนเปี้ยนอยู่สองนาน

เด็ก: ทำไมต้องมีที่รองเม้าส์อ่ะ แถบของโน้ตบุ๊คก็มี
ผู้ใหญ่: มันไม่ถนัดนี่นา
เด็ก: ทำไมกดแท็บเล็ตแป๊บๆ ก็วางล่ะ
ผู้ใหญ่: ก็เอาไว้ทำงานไง ใช้หาศัพท์
เด็ก: ทำไมไม่เล่นเกมล่ะ ทำงานอยู่ได้
ผู้ใหญ่: เกมก็ไว้ให้เด็กเล่นไง
เด็ก: แล้วทำไมผู้ใหญ่ไม่รู้จักหัดเล่นเกมบ้างล่ะ

จากนั้น
ผู้ใหญ่จับหัวเด็กกระแทกปากโอ่งแล้วเอาไปฝังทราย

(2)

ได้รูมเมทเป็นหนุ่มอาร์เจติน่า สาวเวเนซูเอล่า และสาวเปอร์โตริโก้
สามคนไปเจอกันที่ออสเตรเลีย (มั้ง) แล้วมาเรียนดำน้ำที่เกาะเต่า


ท่าทางสนิทกันดี
สองสาวแกล้งเพื่อนชายด้วยการเปิดประตูห้องน้ำไปถ่ายช็อตโป๊ โดยที่ผมก็นั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียง
เอิ่ม… นี่มาหาความสงบ
ไปอาบน้ำบ้างดีกว่า (ลืมล็อคประตูห้องน้ำดีกว่า)

(3)

อยู่เมืองไทย แต่ให้ฝรั่งพาเที่ยว ภาค 1

(อ้างอิงสเตตัสก่อนหน้า)
หลังจากแกล้งลืมล็อคประตูตอนอาบน้ำ
ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่สองสาวก็เข้ามาคุยด้วย 

สาวเวเนฯ นามเนลล่า สวยคม ผิวแทน สไตล์ละตินอเมริกา แต่สาวเปอร์โตฯ ก็น่ารักมาก สไตล์อเมริกันผิวขาว ผมเข้ม เธอชื่อพาโอล่า พูดอังกฤษอเมริกันจ๋าเลย (รู้ทีหลังว่าเป็นนักข่าวอยู่โอเรกอน) ส่วนหนุ่มอาร์เจนฯ ชื่อกอนซาโล่ เล่นกีตาร์เก่ง (บรรยายแค่นี้พอ)

สามคนนี้ พาผมไปหาอะไรกิน พาไปเดินเล่นริมหาด นอนบนโขดหินดูดาว พูดคุยเรื่อยเปื่อย ตั้งแต่เรื่องมาร์เกซ (ลุงตายพอดี) ไปจนถึงเรื่องดราก้อนบอล จบท้ายด้วยปาร์ตี้เล็กๆ

ส่วนใหญ่ผมจะคุยกับพาโอล่า เพราะเธอเต้นเก่งและน่ารักมาก ไม่ใช่สิ เพราะเธอคุยเก่งและพูดอังกฤษชัดต่างหาก

เสียดาย ตอนเช้าสองนางกลับไปก่อนผมตื่น เลยอดขอรูปกับเฟซบุ๊คไว้ เศร้า

(4)

อยู่เมืองไทย แต่ให้ฝรั่งพาเที่ยว ภาค 1.5
(รวมฉากติดเรท งดเรื่องเที่ยว)
*ข้อความต่อไปนี้ เหมาะสำหรับผู้มีอายุ 18 ปีขึ้นไป*

หลังจากสองสาวจากละตินอเมริกาและทะเลคาริบเบี้ยนออกเดินทางไปเชียงใหม่ต่อ
(หนุ่มอาร์เจนฯ ยังอยู่ แต่พี่แกก็ไปหลั่นล้ากับกลุ่มเพื่อนที่พูดสเปน)
ผมก็ได้รูมเมทเพิ่มขึ้นอีกหลายคน (ในห้องมี 8 เตียงแบบ 2 ชั้น) 
ส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มจากยุโรป น่าจากมาจากแถบสแกนดิเนเวีย 
(เดาจากภาษาและการใส่กางเเกงในตัวเดียวนอน)
แถมชอบมายืนเกาไข่เกาตูดให้ดูเวลาเปลี่ยนเสื้อผ้า
ทิวทัศน์ภายในห้องจึงมีแต่ซิกซ์แพ็คและกางเกงในเป้าตุง
จนผมกลัวว่าจะหวั่นไหวเลยทีเดียว

ไม่นานก็มีรูมเมทสาวมาเพิ่มความสดใสในห้องถึง 4 คน
เป็นยุโรป 2 คน (ไม่รู้ประเทศ) และอังกฤษ 2 คน

สาวยุโรปไม่ค่อยเฟรนด์ลี่เท่าไร ก็ได้แค่ทักทายส่งยิ้มให้ตามประสา
แต่หนึ่งในนั้น นางนอนเตียงเดียวกับผมชั้นบน
นางเล่นเปลี่ยนเป็นชุดบิกินี่ตรงปลายเตียงเลยซะงั้น
จึงเห็นตูดเต็มๆ -*-
เอิ่ม… มึงช่วยไปเปลี่ยนในห้องน้ำได้มั้ยเนี่ย
ระหว่างตะลึงกับตูดกลมๆ ผมก็เอ่ยทักไปว่า “hey, i’m here, in case u didn’t notice.”
นางบอกแค่ว่า “oh, sorry.”
แล้วก็เอาผ้าขนหนูมานุ่งเพื่อเปลี่ยนชุดต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จากตรงนี้ จึงคาดได้ว่า น่าจะมาจากสแกนดิเนเวียเป็นแน่แท้

อ่านหนังสือต่อไม่รู้เรื่องเลย
อากาศยิ่งร้อนๆ อยู่
ขอนอนจมกองเลือดแป๊บ

(5)

อยู่เมืองไทย แต่ให้ฝรั่งพาเที่ยว ภาค 2 (จบ)

ตอน ตกหลุมรักสาวอังกฤษ (18+)

 

หลังจากนอนจมกองเลือดกำเดาไป 2 ชั่วโมง

ตื่นมาผมก็พบสาวผมบลอนด์ 2 คนในชุดบิกินี่เพิ่งกลับมาจากอาบแดด

คนหนึ่งตัวสูงเพรียว ขายาว แขนยาว นิ้วเรียวสวย เสียงเพราะมาก

และหน้าตาสวยอย่างกับดารา (สไตล์อังกฤษ) เธอชื่อ รีเบ็คก้า

อีกคนชื่อ ลินด์เซ่ย์ สวยแบบธรรมดา สไตล์ชาวตะวันตกทั่วไป

ตาสีฟ้า รูปร่างออกไปทางอวบอึ๋ม

ฟังจากสำเนียงแล้ว ก็พอเดาได้ว่าทั้งสองมาจากประเทศอังกฤษ

 

รีเบ็คก้านอนเตียงติดกับผม

เมื่อแรกพบกันนั้น เธอคลานเข้ามาเสียบปลั๊กชาร์จมือถือที่หัวเตียง

แล้วส่งยิ้มให้ผมพร้อมคำทักทายง่ายๆ ว่า “hi”

ผมถึงกับต้องตะลึงไป 3 วิฯ กับความงามระยะประชิดของเธอ

 

จริงๆ ก่อนจะพบหน้ากัน ผมก็หลงใหลเสียงของเธอไปก่อนแล้ว

เสียงของเธอออกโทนต่ำ แต่ยังนุ่มทุ้ม และลุ่มลึก น่าฟังมาก

รูปประโยคและการเลือกใช้คำก็อย่างกับภาษาเขียนในวรรณกรรม

ตัวอย่างง่ายๆ เช่น ตอนแนะนำตัว ลินด์เซ่ย์จะบอกแค่ว่า “I’m Lindsey.”

ส่วนของรีเบ็คก้าจะเป็น “Rebecca, is my name.”

และหลายครั้งที่ผมฟังรีเบ็คก้าไม่ออก ลินด์เซ่ย์ต้องคอยอธิบายให้ผมฟังอีกครั้ง

ด้วยรูปประโยคและคำศัพท์ที่เข้าใจง่ายกว่า

 

หลังจากรีเบ็คก้าไถ่ถามเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ

เราก็พูดคุยกันต่อเล็กน้อย ลินด์เซย์ก็ขอตัวไปอาบน้ำ

ผมก็ตั้งใจว่า จะลงไปนั่งอ่านหนังสือรับลมทะเลอาบแสงยามเย็นพอดี

กำลังจะลงบันไดอยู่แล้ว รีเบ็คก้าก็วิ่งมาถามว่า

ผมกินอะไรหรือยัง ไปกินกับพวกเขาได้นะ เขาจะไปกินข้างนอกกัน

— มีหรือ จะปฏิเสธ

 

แล้วสองสาวฝรั่ง ก็พาหนุ่มไทยเดินเที่ยวเกาะเต่า

คนหนึ่งดูแผนที่ อีกคนเลือกร้านอาหาร

ส่วนหนุ่มไทยก็เดินชิว คอยตอบบทสนทนาเรื่อยเปื่อย

ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องวรรกรรม ปรัชญา และความเชื่อของคนไทย (เข้าทางเลย)

และรีเบ็คก้ายังคอยแนะนำสถานที่ต่างๆ อย่างกับเป็นมัคคุเทศก์

เพราะเมื่อวานเธอเดินมาเกือบทั่วเกาะแล้ว

 

จากโฉลกบ้านเก่า เธอพาผมไปกินข้าวเย็นกันถึงแม่หาด (เดินชั่วโมงกว่า)

จากแม่หาด สาวๆ ก็พาผมเดินย่อยกันต่อไปถึงหาดทรายรี (เดินอีก 40 นาที)

เดินไปจนสุดหาดแล้วก็เดินกลับ (อีกเกือบชั่วโมง)

จนลินด์เซย์เริ่มบ่นว่าเมื่อย ก็ถึงเวลากลับ (คือกูเมื่อยตั้งแต่แม่หาดแล้ว -*-)

แน่นอนว่า ขากลับต้องใช้บริการแท็กซี่ แม้รีเบ็คก้ายังอยากเดิน

แน่นอนว่า คนที่ไปติดต่อแท็กซี่และเจรจาเรื่องราคาคือ… รีเบ็คก้า

 

ทีแรกโดนชาร์จราคาที่ 500 (3 คน) เพราะดึกแล้วต้องตีรถเปล่ากลับ

ผมจึงต้องยอมเสียคอนเซป “ให้ฝรั่งพาเที่ยว” โชว์สปิริตไปต่อราคาให้ ซึ่ง…

ไม่ได้ผล 500 เท่าเดิม (ฮา)

รีเบ็คก้าเลยต้องไปหาสมาชิกที่ไปทางเดียวกันมาเพิ่ม ก็ได้มาอีกสองคน

ก็โอเค หารแล้วคนละ 100 ราคามาตรฐานของเกาะนี้

 

กลับถึงที่พัก ทีแรกเหมือนว่าจะแยกย้ายกันไปนอน

แต่เมื่ออาบน้ำเสร็จออกมา สองสาวชาวอังกฤษก็ชวนลงไปดื่มเบียร์ต่อ

สมทบด้วยสองสาวจากสวีเดน คนหนึ่งชื่อ ซิลจฺเดวีย (มั้ง – ออกเสียงยากฉิบหาย)

อีกคนชื่อ อีฟวา (ที่เปลี่ยนกางเกงในโชว์ตูดเมื่อสเตตัสก่อนหน้า)

เราก็นั่งดื่ม แฮงก์เอ๊าท์ ลุกขึ้นเต้นเพลงสนุกๆ บ้าง

ลินด์เซย์จะเต้นออกแนวเขินอาย ขยับไหล่ส่ายสะโพกพอประมาณ

แต่รีเบ็คก้า ช่างขัดกับบุคคลิกเมื่อกลางวัน ออกท่าทางอย่างเต็มที่ ไม่สงวนท่าทีใดๆ

เป็นท่าเต้นของผู้หญิงที่ไม่จำเป็นต้องดูเซ็กซี่

แค่แสดงออกถึงความสนุกสนาน และดูเป็นอิสระ ก็น่ารักมากแล้ว

หมดเบียร์คนละ 2 ขวด ก็กลับมานอน เพราะต้องตื่นเช้า

สาวๆ จะไปดำน้ำ ส่วนผมก็กลับกรุงเทพฯ

 

เช้าต่อมา ระหว่างที่ผมเก็บกระเป๋าอยู่ รีเบ็คก้าก็พลิกตัว

บิดขี้เกียจหนึ่งที เผยให้เห็นแผ่นหลังอันเปลือยเปล่า

ผมต้องเอ่ยคำทักทาย “good morning.” หวังให้เธอรู้ตัวและห่มผ้าให้มิดชิด

(ก่อนที่ผมจะไม่ได้กลับบ้านเพราะนอนจมกองเลือด)

เธอหันกลับมานอนหงาย “morning, are u leaving?”

เธอบิดขี้เกียจอีกทีแล้วค่อยๆ ลุกจากเตียงโดยยังใช้ผ้าห่มคลุมตัว โดยเน้นปิดหน้าอก

แล้วบิกินี่ครึ่งบนของเธอก็หล่นพื้น เธอบอกผมว่าพร้อมยิ้มเขินๆ ว่า

“เมื่อคืนแอร์ร้อนมาก ฉันเลยต้องเปลี่ยนมาใส่บิกินี่นอน แล้วชิ้นบนก็หลุดไปตอนไหนไม่รู้”

Categories: Uncategorized

ว่าไปแล้ว…ก็อยากเป็นล่ามเหมือนกันนะ

March 30, 2013 Leave a comment

เมื่อครั้งสมัยบ้าดูหนัง+เล่นเกมแนวสายลับ หาสมบัติ ทฤษฎีสมคบคิด
นอกจากจะบ้าถอดรหัสและชอบวางแผนนู่นนี่นั่นในชีวิตให้ลึกลับซับซ้อนแล้ว
ก็ยังมีความคิดหนึ่งว่า อยากเป็นล่าม

ยิ่งเวลาเห็นตัวละครที่รู้หลายภาษา 
(อย่างโซลิด น้าเน้ก ก็รู้ตั้ง 7 ภาษา เจสัน เจมส์บอนด์ ก็ 4 ภาษา…มั้ง)
แถมบางตัวยังสามารถปรับสำเนียงตัวเองให้เข้ากับท้องถิ่นได้อีก
ก็ยิ่งรู้สึกว่า มันเทพและเท่มาก

ถ้าเราจะเป็นล่ามที่รู้หลายภาษา และจะเก่งขั้นเทพถึงขั้นปรับสำเนียงเพื่อปลอมตัวได้
ก็ต้องเริ่มจากเอาสำเนียงของภาษาเราก่อน พวกภาษาท้องถิ่นตามภาคต่างๆ นี่แหละ
เที่ยวบ่อยอยู่แล้ว มีเพื่อนมาจากหลายภาคอยู่แล้ว น่าจะฝึกได้ไม่ยาก

แต่… มันยากว่ะ แค่ฟังยังไม่รอดเลย -*-

โครงการจึงล้มเลิกไป พุ่งเป้าไปที่ภาษาต่างประเทศอย่างแท้จริง
ซึ่งถ้าจะให้เนียน ก็ต้องเป็นภาษาเอเชียตะวันออก เพราะเราเป็นคนแถบนี้
เป้าหมายก็มี ญี่ปุ่น จีน เวียดนาม พม่า เขมร (ส่วนลาวพอได้แล้ว)

ความคืบหน้า ณ ปัจจุบัน:

ญี่ปุ่น เคยเรียนถึงขั้นอ่านออกเขียนได้ พูดคุยสื่อสารได้พอประมาณ
แต่ไม่ได้เรียนต่อเนื่อง ผ่านไป 10 ปี อ่านได้ เขียนไม่ได้ พูดไม่ได้ ฟังได้ทึมๆ

ภาษาจีน เรียนด้วยตัวเองได้เดือนเดียว… อ่านได้แต่พินอิน

เวียดนาม พม่า เขมร ยังไม่เริ่ม

จนสำนึกได้ว่า เอาภาษาอังกฤษให้รอดก่อนดีมั้ย
แต่พอมานึกๆ ดู ก็เคยเป็นล่ามภาษาอังกฤษอยู่สองครั้ง
แล้วก็ล่มไม่เป็นท่า

เพราะเวลาเจอคำที่ฟังไม่ออกหรือไม่รู้คำแปล
ก็จะชงักแล้วเสียสมาธิโดยพลัน
ไม่อาจจับใจความในประโยคถัดมาได้อีก
ความหมายที่สรุปไว้ก่อนหน้าก็พลอยหายวับตามไป
ได้แต่อ้ำๆ อึ้งๆ ขอให้เขาพูดอีกรอบ (เป็นบ่อยๆ เกือบทุกประโยค)
ก่อนจะพูดอีกรอบด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ก็ส่งสายตาเหยียดหยามมาทีหนึ่ง
แต่ดีหน่อย เวลาพูดอีกรอบมันจะพูดชัดและสั้นกว่าเดิม

แต่ก็นั่นแหละ คงเป็นนิสัยที่ติดมาจากการเป็นนักแปล
ถ้าจะเป็นล่ามจริงๆ สงสัยต้องทำการบ้านหนักหน่อย

ตอนนี้ความบ้าตอนต้นก็เหลืออยู่นิดนึง
เพราะรู้หลายภาษายังไงมันก็เท่
แต่ปัจจัยสำคัญที่ยังอยากเป็นล่ามอยู่ก็คือ ค่าจ้าง
เป็นอาชีพที่ค่าจ้างดีมาก แต่ก็นะ…
ผู้เป็นล่ามก็ต้องทำงานหนัก ก่อนเก่งพอจะทำงานได้ก็ฝึกหนัก
หรือบางคนก็มีพรสวรรค์ด้านนี้ติดตัว ก็ได้ค่าพรสวรรค์ไป
อีกทั้งต้องมีวินัยสูง สมาธิดี เตรียมตัวล่วงหน้า ฯลฯ

เกินเอื้อมทั้งนั้น ถ้าผมจะเป็นจริงๆ
ก่อนอื่นต้องเลิกดูหนัง อ่านหนังสือ เล่นเกม เล่นกีต้าร์ ยันสว่างเสียก่อนสินะ

Categories: Uncategorized

ราโชมอน ในป่าละเมาะ ราโชมอน ราโชมอน และอุโมงค์ผาเมือง

November 4, 2012 1 comment

ฝนตก ทำให้ผมต้องหลบฝนบริเวณทางเดินหน้าทางเข้าหอสมุด
บริเวณนี้ทุกๆ ปลายเดือนจะมีการจัดโต๊ะขายหนังสือ
หนังสือที่นำมาขายล้วนผ่านการคัดเลือกแล้วว่าเหมาะสม
และน่าจะเป็นที่สนใจของนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งนี้
มหาวิทยาลัยที่เป็นสัญลักษณ์หนึ่งของประวัติศาสตร์การเมืองไทย

ผมสะดุดตากับรูปเล่มและการออกแบบหน้าปกของหนังสือเล่มหนึ่ง
หน้าปกเขียนว่า “ราโชมอน และเรื่องสั้นอื่นๆ” ริวโนะสุเกะ อะคุตะงะวะ เขียน
สภาพฝนก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดตกในเวลาอันใกล้
ครั้นจะไปนั่งห้องสมุด อุณหภูมิและความชื้นก็ทำให้ผมคัดจมูกและปวดหัวทุกครา
ผมจึงตัดสินใจยอมแลกกระดาษมีค่าเป็นตัวเลขในมือ
เพื่อเปลี่ยนเป็นชุดกระดาษที่มีคุณค่าเป็นตัวอักษรตรงหน้า
180 บาทคือราคาที่เสียไป บนปกหลังเขียนไว้ว่า 200 บาท
จริงๆ แล้ว การลดราคาหนังสือไม่ใช่เรื่องที่ผมสนใจสักเท่าไร
เพราะคุณค่าที่ได้กลับมาไม่อาจเทียบเคียงออกมาเป็นตัวเลขได้สักครั้ง
แม้เล่มที่ซื้อมาแล้วรู้สึกไม่คุ้ม ก็ไม่ได้เสียดายเบี้ยที่เสียไป หากแต่เสียดายเวลา

เกริ่นเยอะไปแล้ว เข้าเรื่องกันเถอะ

ผมหาที่ยืนอ่านแถวนั้นเพื่อรอฝนหยุดตก
แน่นอนว่า เรื่องแรกที่พลิกไปอ่านก่อนคือ “ราโชมอน”
เพราะต้องการอ่านต้นฉบับของภาพยนตร์ “อุโมงค์ผาเมือง”
ที่นำบทละครเวทีเรื่อง “ราโชมอน (ประตูผี)” ของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช มาดัดแปลง
คึกฤทธิ์เองก็ดัดแปลงมาจากภาพยนตร์เรื่อง “ราโชมอน” ของอากิระ คุโรซาวะ อีกที

เมื่ออ่านเรื่องราโชมอน(ต้นฉบับ)จบ ก็พบว่า… มันไม่ใช่นี่ คนละเรื่องอ่ะ

“ราโชมอน” ถ้าจะให้แปลก็ประมาณ ประตูผี นั่นแหละ
เป็นชื่อประตูที่เป็นฉากของเรื่อง เป็นประตูขนาดใหญ่ มีหลังคา ประมาณประตูเมือง
ความตกต่ำของเกียวโตตามเนื้อเรื่อง กอปรกับประตูที่ถูกทอดทิ้งจนเริ่มสึกหรอไร้การซ่อมแซม
บริเวณนั้นจึงเป็นแหล่งที่ชาวเมืองเกียวโตไว้ทิ้งศพไร้ญาติ
เนื้อเรื่องก็จะตั้งคำถามด้านศีลธรรมได้อย่างเจ็บแสบ
ผมขอเล่าย่อๆ (ตามความจำ อาจมีผิดเพี้ยน) ดังนี้…
ชายคนหนึ่งไปหลบฝนใต้ประตูราโชมอน พบหญิงชรากำลังเก็บเส้นผมจากศพเพื่อนำไปขาย
ชายคนนั้นต่อว่าหญิงชราว่าหากินกับศพ หญิงชราตอบว่าไม่ทำก็อดตาย
ชายคนเดิมจึงทำร้ายหญิงชราเพื่อขโมยชุดกิโมโนโดยให้เหตุผลว่า
ในเมื่อหญิงชรายอมรับการกระทำอันไม่ควรเพื่อหากินแล้ว ก็ไม่ควรโกรธแค้นที่เขาทำกับนางเยี่ยงนี้

ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคดีฆาตรกรรมแบบในหนังอุโมงค์ผาเมืองเลย

ฝนยังคงรักษาจังหวะการตกอย่างสม่ำเสมอ ผมจึงอ่านเรื่องต่อไป ในป่าละเมาะ
แค่เริ่มอ่านก็… อา เรื่องนี้สินะ ที่คุโรซาวะ คึกฤทธิ์ และหม่อมน้อย นำพล็อตเรื่องมาใช้

เนื้อเรื่องก็ตามที่เห็นในอุโมงค์ผาเมืองนั่นแหละครับ
เพียงแต่ว่า ในป่าละเมาะ นั้น ไม่มีตอนจบ มีเพียงคำให้การของแต่ละคนเท่านั้น
กล่าวคือ ไม่มีบทสรุป ไม่มีบทเฉลย ผู้อ่านต้องตัดสินเองว่า “ความจริง” คืออะไร

เมื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมก็รู้ว่า การดัดแปลงโดยเพิ่มบทสรุปเข้าไปนั้น
เริ่มจากฉบับภาพยนตร์เรื่องราโชมอนของคุโรซาวะ
ซึ่งเป็นการนำเรื่องราโชมอน(ต้นฉบับ)มาฟิวชั่นกับในป่าละเมาะ
กล่าวคือ ใช้ฉากเป็นประตูราโชมอน
มีการเพิ่มตัวละคร “ชายคนหนึ่ง” จากราโชมอน(ต้นฉบับ)เข้าไปในเรื่องราโชมอน(ภาพยนตร์)
มีเด็กทารกที่ถูกทิ้ง ซึ่งผมเข้าใจว่านำมาแทน “หญิงชรา”
และนอกจากบทเฉลยความจริงของคดีฆาตรกรรมแล้ว
ตอนจบของภาพยนตร์ก็คือการนำตอนจบของราโชมอน(ต้นฉบับ)มาดัดแปลงใส่ลงไป
ในตอนที่ชายหลบฝนขโมยผ้ากิโมโนของทารกเพื่อจะนำไปขาย ชายเก็บฟืนก็ว่ากล่าว
แต่ที่จริงแล้ว ชายเก็บฟืนเองก็ขโมยมีดของหญิงสาว ภรรยาผู้ตายไปเช่นกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จะถือสิทธิ์อันใดมาตัดสินหลักจริยธรรมของผู้อื่นว่ามิถูกมิควร
(รายละเอียดเพิ่มเติม ราโชมอนฉบับภาพยนตร์ http://pwttas.wordpress.com/2011/06/26/rashomon-1950/)

สรุปก็คือ ฉบับภาษาไทย ไม่ว่าจะเป็น ราโชมอน(ประตูผี) หรือ อุโมงค์ผาเมือง

ก็ไม่ได้ดัดแปลงแก่นเรื่องตามที่หลายคน (รอบๆ ตัวผม) เข้าใจ
การเพิ่มตอนจบนั้นมีตั้งแต่ฉบับภาพยนตร์ของคุโรซาวะแล้ว
ซึ่งอุโมงค์ผาเมืองของไทยนั้นเป็นการปรับเปลี่ยนจากฉบับภาพยนตร์ของคุโรซาวะอีกที
(ที่ฟิวชั่นระหว่างเรื่องสั้นต้นฉบับสองเรื่อง)
โดยการทำให้เป็นบริบทแบบไทย เช่น ฉาก ยุคสมัย ชื่อตัวละคร เป็นต้น

สิ่งที่น่าสนใจในเรื่อง ในป่าละเมาะ/ราโชมอน/อุโมงค์ผาเมือง นี้ก็คือ
คำให้การที่ไม่ตรงกันของแต่ละคน ทุกคนล้วนโกหก
แต่มิใช่การโกหกเพื่อให้พ้นข้อกล่าวหา
ตรงกันข้าม ต่างสร้างเรื่องให้เสมือนว่าเป็นความผิดของตน
จากบทสรุปที่ “ชายหลบฝน” หรือ “คนบ้า” ได้ทิ้งไว้ก็คือ
—ทุกคนต่างก็โกหก สร้างเรื่อง เพื่อให้ตัวเองดูดีกันทั้งนั้น—

ไม่ว่ายุคสมัยไหน มนุษย์ก็ยังคงเป็นเช่นเดียวกันนี้

ปล. รายละเอียดการวิเคราะห์เปรียบเทียบเรื่องราโชมอน/ในป่าละเมาะแต่ละฉบับ
อ่านเพิ่มเติมได้ในหนังสือ “ราโชมอน และเรื่องสั้นอื่นๆ” ในบทส่งท้ายของ วาด รวี

หนังสือเปลี่ยน ชีวิตเปลี่ยน

July 4, 2012 4 comments

หนังสือเล่มไหนที่ทำให้ชีวิตคุณเปลี่ยน?

ผมเคยได้ยินคำถามนี้หลายครั้ง แต่ละครั้งผมก็มักตอบไปแบบขอไปที หรือไม่ก็เอาฮา
ตัวอย่างเช่น… ขายหัวเราะ, หนังสือโป๊, นิยายจีนกำลังภายใน ฯลฯ

คราวนี้กับคำถามเดิม ทว่าจริงจังขึ้น
เพราะเป็นคำถามจากอาจารย์ในโครงการปริญญาโท สาขาการแปล
เป็นคำถามที่อาจารย์ให้เขียนในใบกรอกประวัติ
เลยเป็นครั้งแรกที่ผมนั่งคิดคำตอบอย่างจริงจัง

จริงๆ แล้ว ที่ผ่านมาที่ตอบกวนๆ ไม่ใช่เพราะอยากกวนหรอก
แต่มันตอบยาก สำหรับผม หนังสือทุกเล่มสร้างความเปลี่ยนแปลงได้หมด
หลังๆ ยิ่งอ่านเยอะ ก็ยิ่งขี้เกียจไปนึกคิดว่าเล่มไหนที่มันเปลี่ยนตัวเรามากๆ
คือมันต่างจากเล่มที่ประทับใจ เล่มที่ชอบ… มันต่างกัน

แม้หนังสือทุกเล่มที่ผมอ่านจะมีอิทธิพลต่อความคิดและการดำเนินชีวิต
แต่ผมจะขอยกมา 5 เล่มหลักๆ ที่ถือว่าสร้างจุดเปลี่ยนสำคัญๆ ให้กับผม
ซึ่งก็เป็น 5 เล่มที่ผมใช้เขียนในใบประวัติ เพียงแต่ในใบนั้น ไม่มีที่ให้ผมขยายความ

5 เล่ม แบ่งเป็น 3 ยุคสมัย

1. ปรัชญาเซน ของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช และ แก่นพุทธศาสน์ ของพุทธทาสภิกขุ

ปกติรักการอ่านอยู่แล้ว แต่สมัยเด็ก ส่วนใหญ่จะอ่านการ์ตูนเป็นหลัก ไม่ก็สารคดี วิทยาศาสตร์ทั่วไป แนวความรู้รอบตัวนั่นเอง ผมจะห่างๆ งานพวกนิยาย เพราะไม่รู้จะอ่านไปทำไม เนื้อเรื่องก็ซ้ำไปซ้ำมา แต่ดูหนัง ดูละคร และอ่านการ์ตูน (ตอนนี้รู้แล้วว่าที่เป็นอย่างนั้นเพราะไม่เจอเรื่องที่เจ๋งๆ เจอแต่พวกนิยายโลกชมพู นิยายน้ำเน่า) จนมาได้สัมผัสหนังสือที่เน้นเนื้อหาไปทางจิตวิญญาณ ประสบการณ์ทางธรรม… ผมก็ไม่ใช่คนเคร่งศาสนาสักเท่าไร เพราะมักจะตั้งคำถามต่อหลักธรรมและวิธีปฏิบัติอยู่เสมอ โดยเฉพาะพิธีกรรมทั้งหลายและพฤติกรรมของสงฆ์ แรงบันดาลใจที่หยิบหนังสือปรัชญาเซนมาอ่านก็คือ การฝึกคาราเต้ ซึ่งมีการพูดถึงหลักการต่างๆ ที่ใช้ในการต่อสู้และสามารถปรับใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวันได้ สิ่งนั้นที่เรียกว่าปรัชญา และคือปรัชญาเซน เมื่อได้อ่าน ก็บรรลุซาโตริในหลายๆ เรื่อง ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของการใช้ชีวิต การจัดการกับเรื่องต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ฝึกให้เป็นคนมองและฟังอย่างละเอียด สังเกตความงามในชีวิตได้มากกว่าเดิม และก็เป็นที่รู้กันว่าปรัชญาเซนคือแนวคิดหนึ่งในกระแสพุทธศาสนา ก็เริ่มสงสัยว่า หลักพุทธธรรมนั้น แท้จริงแล้วคืออะไรกันแน่ ถ้าเป็นอย่างปรัชญาเซน แล้วเราจะประกอบพิธีกรรมทำไม
ไม่ได้ช่วยให้เข้าใจถึงหลักธรรมอันลึกซึ้งเลย หนังสือเล่มต่อมาจึงเป็น แก่นพุทธศาสน์ ซึ่งทำให้ผมบรรลุถึงหลักธรรมได้ปรุโปร่งยิ่งขึ้น
จุดเปลี่ยนที่ได้จากสองเล่มนี้คือ ทำให้เกิดความสนใจในปรัชญา ที่ไม่ใช่ศาสนา เพราะผมอ่านปรัชญาเซน ไม่ใช่ลัทธิเซน ผมอ่านแก่นพุทธศาสน์ ไม่ใช่บทสวด อีกทั้งบุคคลที่ผมชื่นชอบในขณะนั้น บรูซ ลี นักแสดงชื่อดัง ก็จบการศึกษาวิชาเอกปรัชญาด้วย

2. Twilight of the Idols กับ Thus Spoke Zarathustra ของ Friedrich Nietzsche

เมื่อเรียนปรัชญา หนังสือที่อ่านก็จะเป็นหนังสือปรัชญา แม้จะอ่านในวิชาเรียน แต่ก็ให้อะไรมากกว่าหนังสือเรียนวิชาอื่นๆ ผมเรียนปรัชญาไปเกือบ 3 ปี เจอคนนู้นคิดอย่างนู้น คนนี้คิดอย่างนี้ ใครถูกใครผิดไม่รู้ แต่เราเรียนเพื่อฝึกความคิด ตอนแรก เห็นด้วยกับเขาหรือเปล่าไม่สำคัญ สำคัญคือเราต้องเข้าใจว่าความคิดเหล่านั้นเป็นมาอย่างไร เมื่อเข้าใจแจ่มชัด ค่อยสำรวจดูว่าแนวความคิดนั้นๆ นำมาใช้ได้จริงหรือไม่ ถ้าเราจะเถียง เราจะใช้เหตุผลยังไง จนมาเจอนักปรัชญาเยอรมันนามว่า ฟริดริช นีทเช่ ผมต้องยอมสยบ… สิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องเข้าถึงยาก เข้าใจยาก แต่ครั้นเมื่อเข้าใจแล้ว คุณก็เถียงไม่ออก ได้แต่ยอมรับโดยดุษฎี นีทเช่พูดถึงหลายเรื่องตั้งแต่ศิลปะไปจนถึงการเมือง ตั้งแต่ก็ใช้ชีวิตไปจนถึงจิตวิทยา อีกทั้งความฉลาดหลักแหลมของเขาไม่ได้จำกัดอยู่แค่ความคิด แต่รวมไปถึงความสามารถด้านภาษา คือภาษาเขียนของเขามีลักษณะเป็นกวีนิพนธ์ นักปรัชญาน้อยคนนั้นจะทำได้แบบนี้ ถึงขนาดในวงการวิชาการ บางคนไม่นับนีทเช่ว่าเป็นนักปรัชญา แต่มองว่าเขาเป็นกวีมากกว่า
สิ่งที่ผมได้จากนีทเช่ที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญคือ การเริ่มหันมามองงานวรรณกรรม วรรณคดี ความสำคัญของงานคลาสสิก และความสำคัญของงานแปล

3. Norwegian Wood by Haruki Murakami

คนชอบขีดๆ เขียนๆ ทุกคนก็อยากเขียนหนังสือออกมาเป็นเล่ม ไม่ว่าจะเขียนเพื่ออะไรก็ตาม
ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น โดยไม่ได้หวังว่าจะยึดอาชีพนักเขียนมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เพราะดูท่าแล้วคงยาก ยากทั้งในบริบทสังคมไทยและความสามารถ แต่จะเป็นเรื่องความสามารถมากกว่า ผมจึงได้แต่ฝันอยากเขียนนู่นเขียนนี่มาเรื่อย ลงมือเขียนจริงๆ ก็มักเป็นเรื่องสั้น ระบายอารมณ์บ้าง สื่อความคิดแปลกๆ บ้าง (อยากจะติสท์กับเขาบ้าง) คิดอยากเขียนนิยายสักเรื่อง ก็ไม่ลงตัวเรื่องพล็อตสักที ทั้งยังคิดว่า
ความสามารถเราคงยังไม่ถึง เก็บประสบการณ์ เก็บวัตถุดิบ ไว้รอตกผลึกค่อยเริ่มเขียนก็ได้ ถ้ามีชีวิตอยู่ถึง อายุสัก 60 ค่อยมาเขียนก็หวังว่าคงไม่สายเกินไป… ความคิดเหล่านี้ต้องหยุดชงักลงเมื่อได้สัมผัสงานของมุราคามิ จากที่ได้อ่านเรื่อง Norwegian Wood แล้ว รู้สึกได้เลยว่านักเขียนคนนี้ไม่ธรรมดา เนื้อเรื่องในหนังสือก็เรื่องความรักวัยรุ่นที่ออกจะดราม่าหน่อย แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่ตามเนื้อหาเหล่านั้น มันไม่ธรรมดา อธิบายไม่ถูกเหมือนกัน คือรู้ได้ทันทีว่านักเขียนคนนี้ ทำงานหนัก มีวินัยสูง พื้นฐานด้านวรรณกรรมแน่น… เมื่อมาค้นคว้าประวัติเขา ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ
ปิดร้านผับแจ๊ซที่กำลังไปได้สวย เพื่อมาทำงานเขียนอย่างจริงจัง… ทำงานหนัก
มีระบบความคิดและวิธีเขียนชัดเจน วิธีการทำงานเป๊ะมาก แม้แต่การออกกำลังกายก็ไม่มองข้าม… วินัยสูง
จบการศึกษาด้านการละคร (ประมาณนั้น) คืออ่านงานคลาสสิกมาหมดแล้ว… พื้นฐานแน่น
จุดเปลี่ยนจากเล่มนี้ก็คือ ทำให้ผมเริ่มจริงจังกับการเขียน ไม่เคยรู้สึกอยากเขียนขนาดนี้มาก่อน
นี่ไม่นับเขียนไดอารี่ อัพบล๊อก โพสเฟซบุ๊คนะ หมายถึงการเขียนแบบจริงจัง เขียนนิยายนั่นแหละ
แต่ตอนนี้ ขอเริ่มจากบทหนังก่อนแล้ว เขียนเสร็จแล้วเอาไปขาย…

ยิ้ม

May 27, 2012 3 comments

นักชีววิทยากลุ่มหนึ่งมีความเห็นว่า
การยิ้มนั้น มีที่มามาจากการแยกเขี้ยวอันเกิดจากความกลัว
เมื่อสมัยมนุษย์ยังไม่เป็นมนุษย์ (30 ล้านปีก่อน)
เวลาพบสิ่งแปลกปลอมที่กำลังจะเกิดขึ้นตรงหน้า เช่นเกิดเสียงแปลกๆ ในพุ่มไม้
ก็จะทำการแยกเขี้ยวขู่ไว้ก่อน เผื่อว่าจะเจอศัตรูโผล่ออกมา
ครั้นพอพบว่า แท้จริงแล้วเป็นพวกเดียวกัน
ชุดกล้ามเนื้อใบหน้าที่ยังไม่ได้วิวัฒนาการให้ตอบสนองอารมณ์ได้ทันท่วงที
จึงไม่สามารถหุบเขี้ยวได้ทันใจ จึงต้องเปลี่ยนเป็นยิ้มแทน เพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่า ฉันเป็นพวกเดียวกับนาย
หลังจากนั้น การยิ้มก็วิวัฒนาการมาเรื่อยๆ การเป็นสิ่งสำคัญในการแสดงอารมณ์ความรู้สึก

จากเรื่องนี้ทำให้ผมคิดไปว่า การยิ้มที่เป็นธรรมชาติที่สุด อาจไม่ใช่การยิ้มจากความสุข
แต่อาจเป็นการยิ้มเพื่อกลบเกลื่อน ยิ้มแบบมีเลศนัย หรือแม้แต่ยิ้มแบบโรคจิตๆ ก็เป็นได้

ทฤษฎีก็คือทฤษฎี ไม่ใช่ข้อสรุป ผมแค่ชอบแนวคิดนี้เพราะมันตอบสนองความคิดผมได้

ผมเองก็เป็นคนชอบยิ้มแบบโรคจิตๆ

Categories: วันว่าง

โครงการมนุษย์คลาสสิก

February 11, 2012 4 comments

โครงการนี้เป็นโครงการที่ผมคิดขึ้น เพราะหลังๆ ผมดูจะถวิลหาอะไรที่มันคลาสสิกๆ
ซึ่งแน่นอนว่า… ความคลาสสิกมันต้องอาศัยกาลเวลา แต่ใช่ว่าของเก่าทุกอย่างจะคลาสสิกไปหมด

เริ่มจากความหมายของคำว่า คลาสสิก ก่อน
คลาสสิก มันต้องเจ๋ง โดยไม่ต้องหาสิ่งใดเปรียบ
คลาสสิก มันต้องอยู่เหนือกาลเวลา (ซึ่งได้พิสูจน์ตัวเองมาแล้วผ่านกาลเวลา)
เอ่อ… คิดได้แค่นี้อ่ะ -*-

เอาล่ะ เริ่มต้นง่ายๆ
1. ตามล่าอ่านวรรณกรรมคลาสสิกให้หมด ให้เหมือนกับว่าเรียนจบวรรณคดีหรือการละครมาอย่างไรอย่างนั้น
2. ตามล่าฟังเพลงระดับคลาสสิก ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะแนวคลาสสิก (Classical Music) คือเป็นเพลงระดับตำนานทั้งหลาย
3. ถ่ายภาพ ด้วยวิธีการสุดคลาสสิก กล้องฟิล์มนั่นเอง

จริงๆ ประเด็นหลักอยู่ที่ข้อสาม
แต่เกริ่นก่อนเพราะอยากแสดงความคิดอันบ่งบอกตัวตนเสียก่อน
ว่าแต่ มันดูสั้นๆ เหมือนบ่นๆ มากกว่าจะเป็นการบรรยายโครงการอีกแน่ะ

ช่างมัน…
เอาเป็นว่า เร็วๆ นี้จะเอากล้องฟิล์มมาปัดฝุ่น
แล้วออกเดินทางบันทึกภาพถ่าย
ปลดปล่อยใจให้เป็นอิสระบ้าง
หลังจากปล่อยให้มีเรื่องกระทบกระเทือนกระแทกกระทั้นมาเนิ่นนาน (จริงๆ แค่อาทิตย์เดียว)

แล้วพบกัน

แค่นี้นะ…

August 2, 2011 7 comments

โลกเปลี่ยนแปลงไป เป็นสัจธรรม
แต่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทำให้กระบวนการนี้เร็วขึ้น
หรือแท้จริงแล้ว ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยน หากแต่ใจเราเท่านั้นที่สั่นไหวไม่หยุดนิ่ง

ผมได้รับการศึกษาตั้งแต่ชั้นประถมมาว่า ชีวิตคนเรานั้นต้องการปัจจัยสี่
อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค
พอโตมาสักระยะ เริ่มมีคนพูดถึงปัจจัยที่ห้า
ก็แล้วแต่มุมมอง บ้างก็ว่าเงินตรา บ้างก็ว่ายานพาหนะ
แต่ล่าสุดที่ได้ยินมาคือเครื่องมือสื่อสารพกพา หรือโทรศัพท์มือถือ

ชีวิตคนรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะอยู่ในวัยไหน ล้วนแต่ต้องมีโทรศัพท์มือถือกันทุกคน
โดยใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารหลักแทนที่โทรศัพท์บ้าน
เครื่องแฟกซ์ก็ลดความสำคัญลง (แต่ยังใช้กันอยู่) เปลี่ยนเป็นอีเมลแทน
น้อยคนนักที่จะให้เบอร์คนอื่นด้วยเบอร์โทรศัพท์บ้าน และใช้โทรศัพท์บ้าพูดคุยกัน
(ก็เป็นข้อดีอย่างหนึ่ง เพราะผมเลิกรับสายเบอร์บ้าน มันมีแต่พวกโทร.มาขายของ -*-)

เมื่อเป็นเช่นฉะนี้ พวกเราจึงห่างไกลจากอารมณ์การคุยโทรศัพท์บ้าน
อาการเมื่อยหูเหงื่อโชก มืออยู่ไม่สุขต้องม้วนสายจนแม่ด่า คุยนานข้ามวันข้ามคืน
และที่สำคัญ คือการวางสาย !!!

โทรศัพท์ยุคใหม่ที่เรียกกันว่า สมาร์ทโฟน ที่เป็นที่นิยมมักจะเป็นแบบจอสัมผัส
เวลาเราวางสาย ก็ต้องสัมผัสเบาๆ เพราะของมันแพง
ยิ่งอารมณ์เสีย ก็ยิ่งต้องระวัง เพราะอารมณ์อาจครอบงำจิตใจจนเผลอทำตก
ต้องสูญเสียทรัพย์สินมูลค่าเป็นหลักหมื่นบาท ที่กว่าจะหามาได้ก็แทบแย่

หรือโทรศัพท์มือถือทั่วไป แบบปุ่มกดธรรมดาๆ
เวลาวางสายก็กดปุ่ม ไม่ว่าจะกดแรงแค่ไหน ก็ค่าเท่ากัน
อารมณ์เสียหน่อยก็วางสายแล้วเขวี้ยงลงที่นอน (กลัวมันแตก สมัยนั้นก็แพงอยู่นะ)

แต่สิ่งที่โทรศัพท์บ้านทำได้คือการกระแทกหูใส่คู่สนทนาเวลาวางสาย
คู่สนทนาจะพบกับเสียง “กรึบ!!!” ดังๆ ก่อนสายถูกตัดเสมอ
นั่นคืออารมณ์ที่สะใจมาก และหาไม่ได้กับอุปกรณ์สื่อสารยุคใหม่

เมื่อวันก่อน วันเกิดเพื่อน มันได้รับของขวัญเป็นของเล่นสำหรับไอโฟน
ทำให้อารมณ์การวางสายดังกล่าวกลับมาอย่างเต็มรูปแบบ
ได้รับการทดสอบแล้วว่าใช้ได้จริง โดยพรีเซ็นเตอร์ในภาพ และเจ้าของวันเกิด (ไม่อยู่ในภาพ)
หลังจากนั้น เวลาผมโทร.หาเขา ก็จะได้รับการกระแทกหูใส่เมื่อวางสายทุกครั้ง
สนุกเขาล่ะ…

ของขวัญ ภาคสอง: ผู้ให้สู่ผู้รับ กับความหมายอันยิ่งใหญ่ของชายตกงานไร้ความโรแมนติค

June 26, 2011 2 comments

เย็นย่ำยามที่แสงตะวันเริ่มเปลี่ยนสีของวันที่ร้อนอบอ้าว เสียงโทรศัพท์มือถือเครื่องเก่าดังขึ้น
ผมไม่ได้ยินเสียงเรียกเข้าของเครื่องนี้มานานแล้ว จึงรู้สึกแปลกใจ

เธอคนหนึ่ง เป็นผู้หญิงผู้ซึ่งผมได้เฝ้ารอวันที่จะได้พบกันมาเป็นเวลานาน
ยาวนานเกินกว่าปี อาจจะดูไม่นานนัก แต่ผมเฝ้ารอโอกาสที่จะได้พบกันอยู่ทุกวัน
ช่วงเวลาที่ห่างหายนั้น มันไม่ใช่แค่หายหน้าหายตากันไป แล้วคิดถึงกันเงียบๆ ใต้โคมไฟหัวเตียง
แต่เราทั้งสอง พยายามหาโอกาสที่จะได้พบเจอกันมาโดยตลอด
ทว่า เหมือนมีอุปสรรคขวางกั้น จึงไม่ได้พบเจอกันเสียที

วันที่ผมเฝ้ารอก็ได้เดินทางมาถึง (หรือผมเดินทางไปถึง?)
เธอโทร.มาชวนผมให้ออกไปหา จะได้นั่งทานเข้าด้วยกัน ได้พบเจอ พูดคุยกัน
แม้จะโทร.มาเป็นเวลาที่ค่อนข้างช้าไปหน่อยที่ผมจะออกจากบ้าน
แต่ว่า… แล้วใครจะบ้าปฏิเสธกันล่ะ ผมจึงตอบรับคำเชิญชวนอย่างไม่ลังเล
ทั้งๆ ที่รู้ว่า เย็นวันศุกร์ รถจะติดกว่าวันอื่น ผมคงใช้เวลาเกินกว่าชั่วโมงจึงจะถึงสถานที่นัดหมาย
แต่ว่า… สิ่งที่ควรทำเวลานี้ คือรีบอาบน้ำแต่งตัวออกจากบ้านทันที เพื่อไปให้เร็วที่สุด
โชคดีที่เธอเองตั้งใจจะเดินซื้อข้าวของส่วนตัวก่อน จึงสามารถรอผมได้

พบเจอกันคราวนี้ แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่ได้อยู่ด้วยกัน
“แต่ถ้าเทียบกับระยะเวลาที่ไม่ได้เจอกัน แค่ได้พบหน้าสักหนึ่งนาที่ ก็รู้สึกว่าคุ้มค่าแล้ว”
ผมพูดประโยคนี้กับเธอ หลังจากที่เธอขอโทษที่เรียกผมออกมา…
สุดท้ายตัวเองเป็นฝ่ายที่ต้องรีบกลับเพราะแม่โทร.ตาม

ที่บอกกับเธอแบบนั้น ความหมายจริงๆ ก็คือว่า…
ผมอยากเจอเธอมาก แม้จะมีเวลาอยู่ด้วยกันแค่สั้นๆ แต่ผมก็รู้สึกดีสุดๆ แล้ว
เป็นความรู้สึกปลื้มปิติที่สุดในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมา
จนอยากจะเก็บช่วงเวลาเหล่านั้นไว้ตลอดไปแบบไม่เลือนลางจางหายไปตามกาลเวลา
และลึกๆ ในใจผมก็เชื่อว่า คงจะมีสักวัน
ที่เธอจะทำให้ผมรู้สึกดียิ่งขึ้นไปอีก ขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด

ผมได้บอกกับเธอแบบอ้อมๆ ไปแล้วว่า เธอคือผู้หญิงในอุดมคติ สำหรับผม
ทั้งยังบอกเรื่องมุมมองและความรู้สึกต่อความรักในช่วงชีวิตตอนนี้ให้เธอฟัง (จริงๆ เธอเป็นฝ่ายถาม)
เรื่องราวพอสังเขปมีอยู่ว่า…
แม้จะมีคนที่ชอบ แต่ตราบใดที่ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่พร้อมในหลายๆ ด้าน ชีวิตยังไม่นิ่งพอ
ก็ไม่อยากจะสนใจเรื่องนี้สักเท่าไร ขอใช้เวลาว่างในตอนนี้พัฒนาตัวเองให้ถึงขีดสุดเสียก่อน
แล้วก็เล่าเรื่อง “จิบเดียวก็ซึ้งแมน” ให้เธอฟัง
เรื่องราวพอสังเขปมีอยู่ว่า…
ฮีโร่ตกกระป๋องคนหนึ่ง ฝันอยากจะเป็นฮีโร่อันดับหนึ่งของจักรวาล
เขาแอบหลงรักเจ้าหญิงของดาวดวงหนึ่ง และสัญญากับตัวเองไว้ว่า
ถ้าได้เป็นฮีโร่อันดับหนึ่งเมื่อไร เขาจะไปสารภาพรักกับเจ้าหญิงองค์นั้น
แล้วก็มีเหตุไม่คาดฝัน เมื่อเจ้าหญิงโดนลักพาตัว พระเอกก็ไปช่วย
เจ้าหญิงจึงตกหลุมรัก และบอกรักพระเอก
แต่แล้วพระเอกกลับตอบว่า “จะมาบอกรักฉันทำไม รอให้ฉันเป็นฮีโร่อันดับหนึ่งให้ได้ก่อนสิ ยัยบ้า”
พระเอกเลยโดนตบซะฉาดใหญ่

ไม่มีเรื่องไหนที่จะอธิบายสภาพจิตใจ ความคิด ความรู้สึก และมุมมองต่อความรักของผม
ได้ดีเท่าเรื่องที่เล่านี้ได้อีกแล้ว

แม้จะไม่ได้บอกเธอตรงๆ ว่า “ฉันชอบเธอ” หรือ “คนที่ฉันชอบที่ว่า ก็หมายถึงเธอนั้นแหละ”
แต่แค่นี้ก็พอแล้ว ก็ผมยังไม่ได้เป็นฮีโร่อันดับหนึ่งเลยนี่นะ
จะไปสารภาพรักเสียก่อนก็ใช่เรื่อง

และแม้เมื่อถึงเวลานั้น เวลาที่ผมพร้อมแล้วซึ่งทุกสิ่งทุกอย่าง
ทั้งสภาพร่างกาย สภาวะทางจิตใจ และความคิดอ่าน
จนอยากจะบอกกับเธอว่า “ชอบนะ…เรามาใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ร่วมกันเถอะ”
แต่เธอก็ได้ไปเริ่มต้นกับใครคนอื่นไปแล้ว ผมก็ไม่เสียใจหรอก
เพราะถือว่าได้ทำตามความคิด ความฝัน ของตัวเองแล้ว
แค่คงเสียดายอยู่ลึกๆ ว่าชาตินี้จะหาผู้หญิงแบบนี้ได้อีกที่ไหน
ไม่ว่าอาณาจักรไหน ก็ต้องมีเจ้าหญิงเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

ในอีก 10-20 ปีข้างหน้า ถ้าคุณเห็นผมยังโสดอยู่ ก็อย่าได้แปลกใจเลย
ผมก็แค่ฮีโร่ผู้อับโชคเรื่องความรัก

อ๊ะ… ลืมกล่าวถึงของขวัญ
นั่นล่ะ ผมก็ถือโอกาสนำของขวัญไปให้กับเธอ ซึ่งของขวัญก็เป็นชิ้นเดียวกับเอนทรี่ก่อนหน้า
และ “เธอ” ก็เป็น เธอคนเดียวกันกับเอนทรี่ก่อนหน้า

อย่างน้อยผมก็ได้บอกในสิ่งที่อยากบอก ตามแผนที่วางไว้มานานนับปี
ได้มอบของที่อยากให้
ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ หรือคำพูดที่มอบให้ไป ล้วนแต่เป็นสิ่งที่แทนความรู้สึกที่มี
แค่นี้ก็พอแล้ว จะเอาอะไรมากมายกับคนไม่โรแมนติค

ของขวัญ

February 22, 2011 4 comments

ผมซื้อของขวัญมาหนึ่งชิ้น
ด้วยความตั้งใจว่าจะมอบให้คนคนหนึ่งเนื่องในวันครบรอบวันคล้ายวันเกิด
ผมเลือกอยู่นาน เพื่อจะให้ได้มาซึ่งของที่เหมาะกับเธอและบ่งบอกความเป็นตัวผมได้ดี
นั่นคือโจทย์ที่ผมใช้มาเสมอเวลาจะเลือกของขวัญให้ใคร

ผมตัดสินใจอยู่นาน ว่าจะเป็นสิ่งของประเภทไหนดี
สุดท้ายก็ลงเอยที่ สมุดโน้ต
เพราะมันคือเครื่องบันทึกความทรงจำสุดคลาสสิค
ก็ตั้งหน้าตั้งตาหาสมุดโน้ต ที่มีลักษณะตามโจทย์ข้างต้น
หาเกือบทั้งวัน ก็ไม่เจอ (ไม่รู้จะเรื่องมาทำไม)

เดินซ้ำร้านเดิม ชั้นวางเดิมๆ ไม่รู้กี่รอบ
มันก็เจอแต่ของเดิมๆ ไม่มีของใหม่สักที
ถึงมีสินค้าใหม่มาวาง ก็ใช่ว่าจะตอบสนองความต้องการได้
ผมก็เลย เดินเอ้อระเหยไปเรื่อยเปื่อย รอเวลาเราได้พบกัน
แล้วก็ไม่ต้องให้ของขวัญ

แต่การกระทำมันช่างขัดกับความรู้สึกยิ่งนัก
ผมยังต้องการมอบของขวัญให้เธออยู่
และไม่ว่ามันจะเป็นอะไร ผมจะต้องหามาให้ได้

ก็เลยเปลี่ยนเป้าหมาย เป็น หนังสือสักเล่ม
ตรงดิ่งเข้าร้านหนังสือสีน้ำเงิน
ตรงไปชั้นหนังสือ เรื่องสั้น และ วรรณกรรมเยาวชน

ใกล้ถึงเวลานัดพบแล้ว ต้องรีบหาหนังสือที่เหมาะสมให้ได้

เลือกอยู่นาน หยิบหนังสือแทบจะทุกเล่มบนชั้น
เปิดดูเนื้อหา สำนวน ผู้เขียน ฯลฯ เพื่อให้มันลงตัว
จนไปเจอเล่มหนึ่ง ชื่อเดียวกับเธอเลย
แต่เนื้อหาข้างในนี่สิ ไม่ไหวจะเอ่ยกล่าว
เลยต้องตั้งต้นค้นหากันต่อไป

ผมเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า อ่อนแรง เลยนั่งลงกับพื้นเสียเลย
แล้วหาหนังสือบริเวณชั้นล่างๆ เอา
แล้วก็ไปเจอเล่มหนึ่ง… ผู้เขียน ปราย พันแสง
”อ๊ะ ทำไมไม่เจอตั้งแต่แรกฟระ”
ถ้าเป็นนักเขียนคนนี้ก็ไม่ต้องอธิบายอะไรให้มากความ
ผมว่า มันเหมาะสมและลงตัวที่จะเป็นของขวัญสำหรับวันนี้ที่สุด
ผมแอบตัดสินใจเลือกไปแล้ว โดยยังไม่ดูชื่อเรื่อง และเนื้อหาเลย
เปิดดูผ่านๆ พบว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับดอกไม้
”อืม… นี่แหละ ใช่เลย”

ซื้อเลย !!! 125 บาท รูปเล่มสวยงาม ปกสดุดตา (แต่ตอนหยิบไม่เห็นปก เห็นแต่สัน)
กระดาษดี เนื้อหา สำนวน ไม่ต้องพูดถึง (น่าจะดีอยู่แล้ว จากชื่อผู้เขียน)
จึงถือว่าเป็นหนังสือที่ราคามิตรภาพสุดๆ
”หรือจะเก็บไว้อ่านเองดี แล้วค่อยเลือกเล่มใหม่” ความคิดนี้ปรากฏขึ้นมาแวบหนึ่ง
”ไม่ได้หรอก ไม่มีเวลาแล้ว” ความคิดนี้ทำให้ความคิดแรกตกไป
แต่ก็หมายความว่า ถ้ามีเวลา และเจอหนังสือที่เหมาะสมอีกเล่ม ผมคงจะเก็บเล่มนี้ไว้เองสินะ

และแล้วก็ถึงเวลาที่เราจะได้พบกัน
แต่เธอไม่มา…
ทิ้งของขวัญผมให้เป็นของหมัน