ราโชมอน ในป่าละเมาะ ราโชมอน ราโชมอน และอุโมงค์ผาเมือง
ฝนตก ทำให้ผมต้องหลบฝนบริเวณทางเดินหน้าทางเข้าหอสมุด
บริเวณนี้ทุกๆ ปลายเดือนจะมีการจัดโต๊ะขายหนังสือ
หนังสือที่นำมาขายล้วนผ่านการคัดเลือกแล้วว่าเหมาะสม
และน่าจะเป็นที่สนใจของนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งนี้
มหาวิทยาลัยที่เป็นสัญลักษณ์หนึ่งของประวัติศาสตร์การเมืองไทย
ผมสะดุดตากับรูปเล่มและการออกแบบหน้าปกของหนังสือเล่มหนึ่ง
หน้าปกเขียนว่า “ราโชมอน และเรื่องสั้นอื่นๆ” ริวโนะสุเกะ อะคุตะงะวะ เขียน
สภาพฝนก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดตกในเวลาอันใกล้
ครั้นจะไปนั่งห้องสมุด อุณหภูมิและความชื้นก็ทำให้ผมคัดจมูกและปวดหัวทุกครา
ผมจึงตัดสินใจยอมแลกกระดาษมีค่าเป็นตัวเลขในมือ
เพื่อเปลี่ยนเป็นชุดกระดาษที่มีคุณค่าเป็นตัวอักษรตรงหน้า
180 บาทคือราคาที่เสียไป บนปกหลังเขียนไว้ว่า 200 บาท
จริงๆ แล้ว การลดราคาหนังสือไม่ใช่เรื่องที่ผมสนใจสักเท่าไร
เพราะคุณค่าที่ได้กลับมาไม่อาจเทียบเคียงออกมาเป็นตัวเลขได้สักครั้ง
แม้เล่มที่ซื้อมาแล้วรู้สึกไม่คุ้ม ก็ไม่ได้เสียดายเบี้ยที่เสียไป หากแต่เสียดายเวลา
เกริ่นเยอะไปแล้ว เข้าเรื่องกันเถอะ
ผมหาที่ยืนอ่านแถวนั้นเพื่อรอฝนหยุดตก
แน่นอนว่า เรื่องแรกที่พลิกไปอ่านก่อนคือ “ราโชมอน”
เพราะต้องการอ่านต้นฉบับของภาพยนตร์ “อุโมงค์ผาเมือง”
ที่นำบทละครเวทีเรื่อง “ราโชมอน (ประตูผี)” ของ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช มาดัดแปลง
คึกฤทธิ์เองก็ดัดแปลงมาจากภาพยนตร์เรื่อง “ราโชมอน” ของอากิระ คุโรซาวะ อีกที
เมื่ออ่านเรื่องราโชมอน(ต้นฉบับ)จบ ก็พบว่า… มันไม่ใช่นี่ คนละเรื่องอ่ะ
“ราโชมอน” ถ้าจะให้แปลก็ประมาณ ประตูผี นั่นแหละ
เป็นชื่อประตูที่เป็นฉากของเรื่อง เป็นประตูขนาดใหญ่ มีหลังคา ประมาณประตูเมือง
ความตกต่ำของเกียวโตตามเนื้อเรื่อง กอปรกับประตูที่ถูกทอดทิ้งจนเริ่มสึกหรอไร้การซ่อมแซม
บริเวณนั้นจึงเป็นแหล่งที่ชาวเมืองเกียวโตไว้ทิ้งศพไร้ญาติ
เนื้อเรื่องก็จะตั้งคำถามด้านศีลธรรมได้อย่างเจ็บแสบ
ผมขอเล่าย่อๆ (ตามความจำ อาจมีผิดเพี้ยน) ดังนี้…
ชายคนหนึ่งไปหลบฝนใต้ประตูราโชมอน พบหญิงชรากำลังเก็บเส้นผมจากศพเพื่อนำไปขาย
ชายคนนั้นต่อว่าหญิงชราว่าหากินกับศพ หญิงชราตอบว่าไม่ทำก็อดตาย
ชายคนเดิมจึงทำร้ายหญิงชราเพื่อขโมยชุดกิโมโนโดยให้เหตุผลว่า
ในเมื่อหญิงชรายอมรับการกระทำอันไม่ควรเพื่อหากินแล้ว ก็ไม่ควรโกรธแค้นที่เขาทำกับนางเยี่ยงนี้
ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคดีฆาตรกรรมแบบในหนังอุโมงค์ผาเมืองเลย
ฝนยังคงรักษาจังหวะการตกอย่างสม่ำเสมอ ผมจึงอ่านเรื่องต่อไป ในป่าละเมาะ
แค่เริ่มอ่านก็… อา เรื่องนี้สินะ ที่คุโรซาวะ คึกฤทธิ์ และหม่อมน้อย นำพล็อตเรื่องมาใช้
เนื้อเรื่องก็ตามที่เห็นในอุโมงค์ผาเมืองนั่นแหละครับ
เพียงแต่ว่า ในป่าละเมาะ นั้น ไม่มีตอนจบ มีเพียงคำให้การของแต่ละคนเท่านั้น
กล่าวคือ ไม่มีบทสรุป ไม่มีบทเฉลย ผู้อ่านต้องตัดสินเองว่า “ความจริง” คืออะไร
เมื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมก็รู้ว่า การดัดแปลงโดยเพิ่มบทสรุปเข้าไปนั้น
เริ่มจากฉบับภาพยนตร์เรื่องราโชมอนของคุโรซาวะ
ซึ่งเป็นการนำเรื่องราโชมอน(ต้นฉบับ)มาฟิวชั่นกับในป่าละเมาะ
กล่าวคือ ใช้ฉากเป็นประตูราโชมอน
มีการเพิ่มตัวละคร “ชายคนหนึ่ง” จากราโชมอน(ต้นฉบับ)เข้าไปในเรื่องราโชมอน(ภาพยนตร์)
มีเด็กทารกที่ถูกทิ้ง ซึ่งผมเข้าใจว่านำมาแทน “หญิงชรา”
และนอกจากบทเฉลยความจริงของคดีฆาตรกรรมแล้ว
ตอนจบของภาพยนตร์ก็คือการนำตอนจบของราโชมอน(ต้นฉบับ)มาดัดแปลงใส่ลงไป
ในตอนที่ชายหลบฝนขโมยผ้ากิโมโนของทารกเพื่อจะนำไปขาย ชายเก็บฟืนก็ว่ากล่าว
แต่ที่จริงแล้ว ชายเก็บฟืนเองก็ขโมยมีดของหญิงสาว ภรรยาผู้ตายไปเช่นกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จะถือสิทธิ์อันใดมาตัดสินหลักจริยธรรมของผู้อื่นว่ามิถูกมิควร
(รายละเอียดเพิ่มเติม ราโชมอนฉบับภาพยนตร์ http://pwttas.wordpress.com/2011/06/26/rashomon-1950/)
สรุปก็คือ ฉบับภาษาไทย ไม่ว่าจะเป็น ราโชมอน(ประตูผี) หรือ อุโมงค์ผาเมือง
ก็ไม่ได้ดัดแปลงแก่นเรื่องตามที่หลายคน (รอบๆ ตัวผม) เข้าใจ
การเพิ่มตอนจบนั้นมีตั้งแต่ฉบับภาพยนตร์ของคุโรซาวะแล้ว
ซึ่งอุโมงค์ผาเมืองของไทยนั้นเป็นการปรับเปลี่ยนจากฉบับภาพยนตร์ของคุโรซาวะอีกที
(ที่ฟิวชั่นระหว่างเรื่องสั้นต้นฉบับสองเรื่อง)
โดยการทำให้เป็นบริบทแบบไทย เช่น ฉาก ยุคสมัย ชื่อตัวละคร เป็นต้น
สิ่งที่น่าสนใจในเรื่อง ในป่าละเมาะ/ราโชมอน/อุโมงค์ผาเมือง นี้ก็คือ
คำให้การที่ไม่ตรงกันของแต่ละคน ทุกคนล้วนโกหก
แต่มิใช่การโกหกเพื่อให้พ้นข้อกล่าวหา
ตรงกันข้าม ต่างสร้างเรื่องให้เสมือนว่าเป็นความผิดของตน
จากบทสรุปที่ “ชายหลบฝน” หรือ “คนบ้า” ได้ทิ้งไว้ก็คือ
—ทุกคนต่างก็โกหก สร้างเรื่อง เพื่อให้ตัวเองดูดีกันทั้งนั้น—
ไม่ว่ายุคสมัยไหน มนุษย์ก็ยังคงเป็นเช่นเดียวกันนี้
ปล. รายละเอียดการวิเคราะห์เปรียบเทียบเรื่องราโชมอน/ในป่าละเมาะแต่ละฉบับ
อ่านเพิ่มเติมได้ในหนังสือ “ราโชมอน และเรื่องสั้นอื่นๆ” ในบทส่งท้ายของ วาด รวี