Archive

Archive for the ‘Travel’ Category

เล่นกีต้า 10 องศา

January 14, 2008 6 comments
(แรงบันดาลใจการตั้งชื่อจากบล๊อกของ ไอ่จ๊อก "เตะบอล 10 องศา")
 
เมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้ว ตอนบ่ายสอง – บทสนทนาของสองพี่น้อง
 
พี่ณัฐ – "เสาร์ อาทิตย์ ไปไหนป่าวว้า?"
ไอ่เน – "ไม่อ่ะ"
พี่ณัฐ – "อยู่บ้านทุกวันเลยรึ?"
ไอ่เน – "ใช่ล่ะ"
พี่ณัฐ – "ไปเชียงรายป่าว?"
ไอ่เน – "เมื่อไหร่?"
พี่ณัฐ – "วันนี้…ออกตอนเย็น"
ไอ่เน – "ไป!!!"
 
นั่นล่ะ คือจุดเริ่มต้นของทริปนี้
หลังจากจบบทสนทนา ก็เตรียมตัวเก็บของ
ตรวจสอบความพร้อมทุกอย่าง
แล้วก็ออกเดินทางกันไป
เพื่อนพ้องร่วมเดินทางก็ประกอบไปด้วย
รถกระบะออฟโร้ด 4 คัน(รวมรถกูด้วย)
รถตู้ 2 คัน
คันหนึ่ง เป็นทีมจากเนชั่น
อีกคันเป็นกรุ๊ปทัวร์ที่มาร่วมขบวนการด้วย
แล้วมีออฟโร้ดมาสมทบอีกหนึ่งคันที่นครสวรรค์
อ่า… เยอะโคตร
 
ยิงยาว กรุงเทพฯ-เชียงราย
ถึงเชียงรายกันประมาณ 6 โมงเช้า
หมอกหนาจนมองเห็นได้ไม่เกิน 10 เมตร
วันแรกนี้ ไปบริจาคของ และส่งมอบห้องสมุดที่ร่วมกันสร้างเมื่อปีที่แล้ว
ที่โรงเรียนบ้านสบคำ ที่ไปเมื่อปีที่แล้ว
พอตกบ่ายก็ไปเตะบอลกับชาวบ้าน
เจ็บตัวเลย โดนกระแทกเข้าที่เอ็นร้อยหวายข้างซ้าย
ตอนแรกก็ไม่รู้ตัว มาเริ่มเจ็บแปล๊บๆ เอาตอนเย็น
ตอนค่ำ ก็เข้าที่พักที่ทะเลสาบเชียงแสน
อุณหภูมิ เริ่มหนาวที่ 14 องศา เล่นเอาปวดขาระบมบรรลัย
ดื่มสุรา ร้องรำทำเพลง ลืมความเจ็บปวดกันได้แค่คืนเดียว
เช้ามาถึงกับต้องเดินกระเผลกกันเลยทีเดียว
แต่กายาจะเจ็บปวดแค่ไหนไม่สำคัญ หากใจยังสู้อยู่
 
ตอนเช้าก็วิวสวยมากเลย มีนกเป็ดน้ำด้วย บินถลาอยู่เหนือทะเลสาบกว้างใหญ่
ทะเลสาบเชียงแสน ที่เขาเล่ากันว่า มีเมืองที่จมอยู่ใต้น้ำ
เพราะชาวเมืองดันไปกินปลาไหลเผือกซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงของพระอินทร์
แต่ก็ไม่เคยมีใครเคยดำลงไปดู เพราะกลัวจมน้ำ
 
วันที่สองนี้ ไปขึ้นดอยแม่สลอง ถิ่นฐานชาวจีนฮ่อที่อพยพมาเมื่อปี 2502
เป็นกองกำลังทหารผู้รักเสรีนิยม กองพันที่ 93 นำโดยนายพลต้วน
ไม่สามารถยกทัพกลับเมืองจีนได้ เพราะจีนเป็นคอมมิวนิสม์ไปแล้ว
เลยปักหลักอยู่ที่เมืองไทย
คนที่นี่ พูดภาษาจีนกันหมดเลย ได้กินอาหารจีนยูนนานด้วย เลี่ยนกันเลยทีเดียว
 
ตกกลางคืนก็เหมือนเดิม ตั้งวงดื่ม ร้องเพลงกัน
แต่ที่นี่มันหนาวกว่ามาก เริ่มต้นกันที่ 10 องศา
บรรเลงเพลงยอดฮิต คาราวาน คาราบาว และจรัล เป็นหลัก
เล่นกีต้าจนนิ้วชาเลย ขาที่ปวดก็บรรลัยกว่าเดิมอีก(แต่ก็ยังฝืน)
ยาวไปถึงตี 3 ครึ่ง เริ่มทนหนาวไม่ไหวแล้ว เลยต้องแยกย้ายกันไปนอน
 
วันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันกลับ ก็แวะไร่ชา ชิมชากันไป
คนชงชาช่างน่ารักเสียนี่กระไร เหอๆ
ทั้งวันก็แวะเที่ยวนู่นเที่ยวนี่ตามสไตล์ แต่ก็ไม่มีอะไรมาก
แล้วก็เดินทางกลับ ถึงบ้าน ตี 3
 
ตื่นมาอยู่บ้านแล้ว อ๊ากกก… ปวดขา
ปลุกพี่ชาย ปลุกแม่ มุ่งตรงสู่โรงหมอ
แล้วก็โดนหมอด่า โดนแม่กักบริเวณ
คงออกไปไหนไม่ได้อย่างน้อยก็อาทิตย์นึงล่ะ
อย่างมากก็สองอาทิตย์ เฮ่อ…ทำไมช่วงนี้เจ็บตัวบ่อยจังวะ
 
ตั้งแต่กลับจากรับน้องเอกญี่ปุ่น ก็หลอดลมอักเสบ
พอหายแล้ว ก็ปวดแก้วหูขวา แถมยังมีเสียงหลอนดังก้องในหูอีก
พอเริ่มบรรเทา วันปีใหม่ ก็เดินสะดุดไม้หมอนที่สวนหลังบ้าน
นิ้วก้อยเท้าขวาซ้นเลย ยังไม่หายดี ก็โดนประตูหนีบมือซ้ายช้ำเลย
ดีนะหายทันก่อนไปเชียงราย แต่แล้วก็ต่อด้วยเอ็นข้อเท้าอักเสบจากทริปนี้
 
ปล. จริงๆ แล้วทริปนี้ สนุกสนาน เฮฮา แล้วก็ชิลล์มากมาย
แต่ไม่รู้จะเล่ายังไงอ่ะ เพราะมึนๆ ยาแก้ปวดอยู่
แต่ถ้าไม่เล่าวันนี้ เดี๋ยวก็จะไม่มีอารมณ์มานั่งพิมพ์อีก
 
ปล.2 เริ่มหลงรักเชียงราย (ไม่เกี่ยวกับที่จีบสาวเชียงรายอยู่นะ)
ปีที่แล้วก็ไปมา 3 ครั้ง ทั้ง 4 ครั้งที่ไปมาติดๆ กันนี่ เที่ยวที่ไม่ซ้ำกันเลยล่ะ
 
ปล.3 ถ่ายรูปน้อยอ่ะ เพราะขาเจ็บ
Categories: Travel

สวนสินสองออนเดอะบีชแอทหัวหิน 2550

July 2, 2007 10 comments

“อาเฮียหลี อาหลีเฮีย”
สวัสดีครับ ยินดีต้อนรับสู่การรับน้องโต๊ะสวนสินสองปี 2550
ครั้งนี้เราจะยกกำลังพลไปที่หัวหิน
สนับสนุนการเดินทางโดย บริษัท สวนสินสอง ตลกโปกฮา ไม่จำกัด มหาชน

แม้เพื่อนร่วมก๊วน ทั้ง ปี 5 บัณฑิต บัณทิต2 (ไอ่พู ไอ่เน ไอ่ยอด พี่กู๋) จะดูเพลียๆ
เนื่องจากอดอยากเรื่องนเตียง(นอนหลับ…)
แต่กระนั้น ก็ยังคงคุณภาพความฮาไว้เต็มเปี่ยม
ที่สำคัญ ยังมีเพื่อนร่วมก๊วนรับเชิญอีกสองคน
เริ่มจาก สวนสินสองวีไอพี คือ น้องต๋อย รุ่นโคตรฮา
กับ สวนสินสองเกสต์ คือ ไอ่เบส รุ่น มหาฮา
มาช่วยกันเพิ่มดีกรีความฮากันเข้าไป

“เฮฮา ปาร์ตี้ กินเหล้าเมายา
ตลกโปกฮา บ้าพลังโชว์พาว
สวนสินสองรึป่าว?
สวนสินสอง สวนสินสอง”
ขึ้นรถไปก็เริ่มมีอารมณ์ศิลปิน จับกีตาร์มาบรรเลงเพลง
พอน้องเฟรชชี่มาแนะนำตัว ก็จัดการแต่งเพลงประจำตัวให้กับน้องๆ ทุกคน(เหนื่อยชิหาย)

น้องราเมง
    A             C#m Bm        E
“ราเมง เส้นเหลืองอิ่ม น่ากิน ชิพหายเลย (ซ้ำ)
   D             C#m Bm  E          A
ราเมง เส้นเหนียวนุ่ม…    น่ากินชิพหายเลย”

น้องเก่ง
      G        Em  C        D
“น้องเก่ง น่ารักดี     มีการศึกษา (ซ้ำ)
    C   Bm       G
พูดจาก็รู้เรื่อง น้องเก่ง”

น้องเติ๊ด
      A       C#m    Bm   E      A       C#m     Bm   E
“น้องเติ๊ด ชอบกิน มะละกอ           กินมะละกอ แล้วขี้ไหล
        D      C#m  Bm     E  A
      ขี้ไหล ก็ไป      ใช้    ที่ฉีดตูด”

น้องเชอร์รี่
D7                     G                   Em                      C                         D
” น้องเชอรี่ เอ้า น้องเชอรี่ น้องเชอรี่ชอบกินเป๊ปซี่ กินเป๊ปซี่แล้วไม่กินนม เพราะกินนมไปแล้วขี้ไหล
                    G                     Em                     C          D             G
 พอขี้ไหลก็นอนตื่นสาย นอนตื่นสายก็มีขี้ไคล มีขี้ไคลแล้วไม่อาบน้ำ น้องเชอรี่ เอ้า น้องเชอรี่…”

น้องทิพย์
      A          C#m     Bm     E         A                 C#m      Bm     E
“น้องทิพย์ เด็กสาธิต     สาธิตศิลปากร   น้องทิพย์ฟังเพลงบนที่นอน พอฟังไปก็ยิ้มไป
     D          C#m    Bm  E      A
นอนฟังอยู่ก็ยิ้มให้       พี่สาว ชื่อแจ่มเอย”

น้องแพน
       G            Em   C        D        G        Em            C            D
“น้องแพนแปลว่ากะทะ กะทะๆ แบนๆ    น้องแพนไม่มีแฟนเพราะน้องแพนเป็นคนมีเหา
      C            Bm      Am    D    G
น้องแพนเล่นมุกน้ำเน่า ถึงน้ำเน่าแต่ก็มีเงาจันทร์”

น้องเอ๋
      A            C#m           Bm         E
“น้องเอ๋ เขาบอกว่าสวย หน้าเหลี่ยมด้วย ซวยทั้งวัน
     A         C#m     Bm       E
น้องเอ๋หน้าชวนฝัน พูดทั้งวัน เล่นมุกเสี่ยว
     D         C#m         Bm      E       A
น้องเอ๋ ชอบไปเที่ยว ไม่ไปคนเดียว ไปเที่ยวกับใคร?”

พอถึงที่พัก ก็ปิดตาน้องๆ แล้วก็สร้างความกดดันตามสไตล์
เสร็จแล้ว พวกเราก็ก๊งเหล้า บรรเลงเพลงกันถึงเช้า
ทีแรกนึกว่าจะไม่ได้นอนแล้ว โชคดีฝนตก เลยนอนไปประมาณชั่วโมงครึ่ง
ส่วนไอ่ยอด กะไอ่พู ขี้เซาสัด ตื่นซะ เกือบ 11 โมง
พอถึงเกมล่าโซ่ ก็ให้น้องๆ แสดงอะไรก็ได้
พวกเราก็เลยตกลงปลงใจกันว่า ให้น้องเล่นตลก
โห น้องแม่งเครียดชิหาย แต่ก็แสดงได้ฮาดี
แล้วก็มีการแสดงอื่นๆ อีก เช่น เล่นมิวสิควีดีโอ เล่นโฆษณา เล่นเป็นปังคุงกะเจมส์
ช่วงค่ำ ก็มาถึง ซึ่งเป็นจุดสุดยอดของกิจกรรม
การแสดงชั้นปีนั่นเอง
แต่ได้ดูไม่ครบครัน จึงไม่สามารถเล่ารายละเอียดได้ทั้งหมด
เนื่องจากแอบไปเตรียมงาน เตี๊ยมมุก รันสคริป 
พอถึงการแสดงปีบัณฑิตเท่านั้นแหล่ะ “ฮากระจาย”
แถมทิ้งท้ายด้วยเพลงซึ้งๆ จากพี่กู๋ ทำเอาหลายๆ คนแก้มแฉะกันเลยทีเดียว
พอตอนกลับ ก็ได้ไอ่น้องบอย กับไอ่น้องบิ๊ก ปี2 ซึ่งมาเป็นเกสต์
มันมาแต่งเพลงให้ พี่เน ในสมุดกระจก มีคอร์ดให้ด้วย มา! เดี๋ยวร้องให้ฟัง

  Zm           O#         Ne7           TUm
พี่เน ไปเที่ยวทะเล   ไปนั่งจู๋เด่ อยู่กลางหาดทราย
  Bkk        KFC              Lo             So
พี่เน เขาเป็นผู้ชาย  บ้านอยู่เชียงรายหรือแม่ฮ่องสอน
   Zm        O#              Ne7        TUm 
พี่เน ชอบเล่นกีตาร์  เล่นเก่งเป็นบ้า แม่ค้ายังชม
  Bkk        KFC               Lo          So
พี่เน เค้าตัวไม่กลม  เพราะกินลูกอมแล้วมันติดฟัน
ลาลาล้า…ลันลา
หมีแพนด้า หมีแพนด้า หมีแพนด้า หมีหมี แพนด๊า!

(คอร์ดเหี้ยไรของมันก็ไม่รู้ สงสัยมันแอ๊ดว้านซ์เกินไป
แล้วอยู่ดีๆ มันมาย้ายบ้านให้ผมอีกแน่ะ
ตัวไม่กลมเพราะลูกอมติดฟัน มันเกี่ยวไรกันวะ… อ๋อ พอลูกอมติดฟันก็เลยไม่อ้วนมั้ง?
แล้วหมีแพนด้ามันมาจากไหนอีกวะเนี่ยยยย… โอ๊ยย กูล่ะกุ้มใจ ไม่มี ล ลิง)
ปล. ไป 3 วัน กูรู้สึกเหมือนไปซะ 4-5 วันเลยว่ะ
Categories: Travel

เจียงฮาย-เจียงแสน-แป้-พิษณุโลก (เชียงราย-เชียงแสน-แพร่-พิษณุโลก)

April 30, 2007 6 comments
 
เพิ่งกลับจากทริป "ฉุกละหุก"
ไปเชียงรายมา…
 
เริ่มจากไอ้พี่ชายตัวดีที่มันเพิ่งกลับจากทิเบตได้ไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์
มันก็มาชวนไปเชียงรายเมื่อวันพฤหัสบดีที่แล้ว
แล้วออกเดินทางวันศุกร์… – -"
เลยต้องแคนเซิ่นนัดดื่มกับวงเหล้าเสวนาปรัชญา และนัดเตะบอลกับเพื่อนสมัย ม.ต้น
มันฉุกละหุกมาก
 
แล้วพอข่าวสารเรื่องการเดินทางคราวนี้ไปเข้าหูท่านแม่เข้า
แม่นางก็เลยไปด้วยพร้อมขนของมากมายไปบริจาคโรงเรียนที่ขาดแคลน
มีทั้งหนังสือ เสื้อผ้า พัดลม เครื่องเขียน อุปกรณ์สำนักงาน มากมายก่ายกอง
ก่ายกองเต็มสองคันรถจนไม่มีที่วางกระเป๋าเสื้อผ้า
รถเก๋งคันนึง รถกระบะคันนึง … มันเยอะมาก
แล้วก็… มันฉุกละหุกมาก
 
ขนของ รวบรวมเงิน รวบรวมสมาชิก จัดเสื้อผ้า เตรียมรถ
ทุกอย่างเสร็จสิ้นภายในเวลา 7 ชั่วโมง
สมาชิกร่วมทริป 6 คน กับรถ 2 คัน
มันฉุกละหุกจริงๆ
 
วันแรก คือวันศุกร์
ออกจากบ้านเที่ยง ถึงเชียงราย 3 ทุ่ม
9 ชั่วโมง กับระยะทาง 870 กิโลเมตร
อืมม…ทำเวลาได้ไม่เลว ทั้งๆ ที่เจอทั้งฝนตกหนักจนมองเห็นได้ไม่เกิน 5 เมตร
ทั้งเจอต้นไม้โค่นล้มขวางถนนจนต้องวิ่งบนไหล่ทาง
ทั้งทางโค้งขึ้น-ลงเขาอย่างกับเขาอากินะในเรื่อง อินนิเชียล ดี
ขับแบบยิงยาวรวดเดียวจบ ไม่มีพัก (เว้นแต่เติมน้ำมัน)
ก็เลยแอบชื่นชมฝีมือขับรถของตัวเองอยู่ในใจ
แต่ไอ้พี่ชายของกระผมนี่สิ มันออกมาทีหลัง
มันใช้เวลาแค่ 8 ชั่วโมง แถมมันบอกว่า มันแวะพักสองครั้ง ครั้งละครึ่งชั่วโมง
ก็เท่ากับว่า มันใช้เวลาเร็วกว่าผม 2 ชั่วโมง
โอ้วว… เสียเซ้วฟ์กันเลยทีเดียว
แต่จริงๆ คือมาคนละเส้นทางกัน ของมันลัดไปเกือบร้อยกิโล
ถึงกระนั้น มันก็เร็วกว่าผมอยู่ดีนั่นแหล่ะ -*-
 
คืนแรกก็พักที่ตัวเมืองเชียงราย
กะจะไปเดินไนท์บาซาร์สักหน่อย
แต่อาการเหนื่อยล้าจากการขับรถ 9 ชั่วโมงเต็มก็รั้งไว้ให้อยู่บนที่นอน
 
วันต่อมา ก็ไปสำรวจโรงเรียนเพื่อเอาของและเงินที่เรี่ยไรมา ไปบริจาค
แต่ไม่มีใครอยู่ที่โรงเรียน ก็เลยขับรถชมวิวเมืองเก่าเชียงแสน
แล้วก็เข้าพักที่สามเหลี่ยมทองคำ ซึ่งเป็นชายแดน ไทย-พม่า-ลาว
 
วันรุ่งขึ้นจึงไปที่โรงเรียนที่หมายตาเอาไว้(จริงๆ ก็หาข้อมูลและติดต่อไปก่อนแล้วล่ะ)
ก็ทำนู่นทำนี่เสร็จไปก่อนเที่ยง ผอ.ก็พาไปเลี้ยงข้าว
(ไม่รู้เอาเงินที่เราบริจาคมาเลี้ยงรึป่าว?)
เสร็จแล้วก็ไปเที่ยวทะเลสาบเชียงแสน
บริเวณแห่งตำนาน โยนก(จำไม่ได้แล้วว่าชื่อเต็มๆ มันเรียกว่าอะไร)
เป็นตำนานของชาวล้านนา เขาว่ากันว่า ใต้ทะเลสาบมีเมืองอยู่
แต่ก็ไม่เคยมีใครดำลงไปดู
ทะเลสาบกว้าง ใหญ่ ยาว สวยมากๆ
ช่วงเดือน พย.-กพ. ก็จะมีนกมากมายหลายชนิดอพยพลี้ภัยทางการเมืองมาอยู่แถวนี้
บรรยากาศดีมาก ก็เลยสำรวจที่พักสักหน่อย
แล้วก็ลงมาพักอีกคืนที่เมืองแพร่
 
ชิลล์ที่ทะเลสาบเพลินไปหน่อย เลยมาถึงแพร่ซะค่ำ
เลยอดแวะ แพะเมืองผี
ไม่เป็นไร ไปเที่ยวผับเมืองแพร่แทน ไปกับไอ้พี่ชายตัวแสบ
ดื่มเบียร์กันไปคนละ 3 ขวดน้อย แล้วก็กลับ
ขากลับดันหลง หาทางกลับโรงแรมไม่เจอ
เฮียก็เลยซิ่งรอบเมืองแพร่ซะเลย ดริฟท์แม่งทุกโค้ง ทุกแยก
ได้เปลี่ยนเบรกมือในเร็ววันนี้แน่ๆ
 
แล้วเรื่องราวก็มาถึงวันนี้ เป็นวันกลับ
ก่อนกลับก็แวะพาพวกป้าๆ ไปไหว้พระพุทธชินราชที่พิษณุโลก
แล้วแยกกันกลับ เพราะไอ้พี่บ้ามันไปนครนายกต่อ
ก็อยากไปด้วย แต่ท่านแม่ผมมีงานพรุ่งนี้ และต้องกลับก่อน
 
ก็มาถึงบ้านตอนประมาณ ทุ่มนึง
ตอนอยู่ที่นั่นก็ยังฟิตๆ อยู่ ตอนขับรถกลับก็ยังเรื่อยๆ
แต่พอเข้าบ้านเท่านั้น รู้สึกเหนื่อยปวดเมื่อยล้าไปทั้งตัวเลย
ที่สำคัญ ปวดหลังชิหาย รถญี่ปุ่นมันทำเบาะไม่ได้เรื่องเลยหว่ะ
 
ก็จบไปกับทริป ฉุกละหุก
สนุกสนานกันถ้วนหน้า ไปกันน้อยๆ อบอุ่นดี
พวกป้าๆ ก็จะบอกว่า ได้บุญเยอะ
แต่ผมไม่ได้สนใจหรอกว่าจะได้บุญได้บาป
แต่รู้สึกดีมาก ที่ได้ช่วยเหลือเด็กๆ ที่ไร้โอกาส และสังคมที่เสื่อมโทรม
 
จะว่าไป โรงเรียนที่ไปนี่ อยู่ตรงข้ามวัดวัดหนึ่ง
วัดนี้มีแต่คนมาทำบุญ บริจาคเงินไว้มากมาย
มีทุกอย่างพร้อม ครบครัน จนผมเห็นว่า มันมากเกินไป ฟุ่มเฟือยสุดๆ
กับโรงเรียนที่ห่างกันเพียงถนนตัดผ่าน
กับเด็กๆ ที่ต้องใส่เสื้อผ้าบริจาค ใส่รองเท้าแตะไปเรียน
ห้องเรียนที่พัดลมเสีย หนังสือเรียนต้องแบ่งกันดู
ยังมีเด็กกำพร้าและเด็กที่ติดเชื้อ HIV มาจากพ่อแม่อีก
ครูก็มีแค่ 9 คน กับนักเรียน 170 คน
เฮ่อ… ตอนผมขึ้นไปที่วัดนั้น
เห็นเณรกวาดลานวัดใส่หูฟัง กับพระนั่งกดมือถือ
โปสการ์ด ที่วัดขายใบละ 10 บาท ขณะที่สามเหลี่ยมทองคำขายใบละ 5 บาท
เหมือนกันเด๊ะเลย
 
ปล.กลับจากทริปนี้ ก็เริ่มหายเฉื่อยแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงขั้น สุนทรีย์ๆ ร่าเริงๆ บันเทิงๆ ชะเอิงเอย
Categories: Travel

“A Big Trip to Laos” (10-16 Apr 2007)

April 18, 2007 7 comments
 
โว้วว !!! ขับรถเที่ยว 7 วัน 7 คืน
กรุงเทพฯ – หนองคาย – สะพานมิตรภาพไทย-ลาว – อุบลราชธานี – ช่องเม็ก
แล้วก็เข้าลาว
ปากเซ – สะหวันนะเขต – อัตตะปือ – ด่าน 18 เบ(ชายแดนลาว-เวียตนาม)
 
คราวนี้ไปทำงาน แต่ก็พอมีเวลาว่างให้เที่ยวในเมืองปากเซ แล้วก็ขับรถชมวิวในลาว
 
ก่อนไปก็ต้องเตรียมเอกสารให้กรุ๊ปทัวร์ในการข้ามประเทศมากมาย
เพราะมีทัวร์ซ้อนกัน 3 ทัวร์ เป็นทัวร์แบบคาราวานทั้งหมด (ขับรถเที่ยว)
ก็เลยยุ่งยากเพราะต้องทำเรื่องเอารถเข้าประเทศด้วย แถมผ่านหลายประเทศ
ไหนจะต้องทำหนังสือนำทาง(Route Book)อีก ก่อนไปจึงเหนื่อยสัด
นอนไม่ค่อยเป็นเวลาเลย
 
Day 1 กรุงเทพฯ-หนองคาย
 
ออกจากบ้าน 6 โมงเช้า เพื่อไปหนองคาย
เอาไกด์และทีมงานไปส่งและจัดการเรื่องเอกสารให้กับกลุ่มคาราวานที่จะไปหลวงพระบาง
ใช้เวลา 7 ชั่วโมงครึ่ง ใช้ความเร็วเฉลี่ยประมาณ 140 km/h
วิ่งเส้น Motor Way สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา-ขอนแก่น-อุดรฯ-หนองคาย
เติมน้ำมันไปประมาณ 2000 B
 
ทั้งๆ ที่ขับรถเกือบทั้งวัน แต่ก็ไม่ยักง่วง
เลยต้องซัดเบียร์ Kloster ไปสองกระป๋อง
พอกำลังได้ที่ ก็กลายเป็นว่าต้องรอทีมงานอีกกลุ่มหนึ่งเพื่อเตรียมเอกสาร
เที่ยงคืนกว่า กว่ามันจะมา -*-
แม่งเสือกหลง ไอ่ฟาย แล้วก็ไม่รู้จักโทรมาถาม
 
คืนนี้พักที่โรงแรมเล็กๆ ชื่อ mini hotel มันเล็กสมชื่อเลย
แต่หัองพักสะอาด ไม่แพงด้วย 300 B/คืน
 
Day 2 หนองคาย-สะพานมิตรภาพไทย+ลาว-อุบลราชธานี
 
เมื่อคืนก็นอนไม่ค่อยหลับ พอดีต้องนอนห้องเดียวกับทีมงานคนนึง
แม่งพูดมาก น่ารำคาญชิหาย มันไม่ได้ชวนคุยไง ไม่งั้นก็คงคุยด้วย
ไอ่นี่เล่นพูดอยู่คนเดียว ใครเขาจะไปอยากรู้เรื่องมึงนักวะ!!!
 
เสียดายที่อุตส่าห์ตื่นแต่เช้า แต่ฟ้าดันมืดครึ้ม
กะว่าจะถ่ายรูปสะพานข้ามแม่น้ำโขงกับพระอาทิตย์ขึ้นซะหน่อย
 
ก็นัดเจอกลุมคาราวานหลวงพระบางกันที่ด่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาว
ฝนตกลงมานิดหน่อย แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคในการเตรียมความพร้อม
พอส่งกรุ๊ปนี้เสร็จ ก็ดิ่งตรงสู่อุบลฯ เลย
ใช้เวลาตั้ง 6 ชั่วโมง กว่าจะถึงอุบลฯ
เส้นทางมันผ่านชุมชนกะตัวเมืองเยอะ เลยใช้ความเร็วไม่ได้มาก
ความเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ 90-110 km/h
เส้นทางที่วิ่งก็… จำไม่ได้แล้ว มั่วๆ ไปตามแผนที่
ไม่เคยวิ่งผ่านกลางภาคอีสานมาก่อน แต่ก็ไปถึงอุบลฯจนได้ล่ะ
ถนนเป็นแบบสองเลนสวนกัน ทำให้เมื่อยแล้วก็เพลียมาก เพราะตื่นเช้าด้วย
ดีที่แดดไม่ค่อยแรง เลยไม่ค่อยปวดตา
น้ำมันเหลืออีกขีดนึง จากที่เติมไว้เมื่อวาน
ก็วิ่งให้หมดแล้วเติมอีก 1100 B แล้ววิ่งยาวจนถึงอุบลฯ
 
ถึงอุบลฯ ประมาณบ่าย 3 พักที่โรงแรมทอแสง
ที่นี่เคยมาพักตั้งแต่เด็กๆ แล้ว มาบ่อยเลยได้ส่วนลด
ปกติ 1200 B/คืน แต่ผมได้ราคา 1050 B/คืน
 
Day 3 อุบลราชธานี-ด่านช่องเม็ก-น้ำตกตาดฟาน-ปากเซ
 
วันนี้ไม่ต้องตื่นเช้ามาก เพราะนัดคณะคาราวานไว้ตอนบ่าย
ก็กินอาหารเช้าสุดอร่อยที่โรงแรมแบบสบายๆ แล้วก็ไปช่องเม็ก
ถึงช่องเม็กประมาณ 10 โมงครึ่ง ก็เดินเล่นรอไป
มีตลาดที่ขายแต่พวก แว่นกันแดด หมวก ร่ม เสื้อผ้า ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจ
มุมถ่ายรูปก็ไม่ค่อยมี มีแต่ตึกของด่านศุลกากรรูปทรงแปลกตา
 
ลืมบอกไป ตอนเช้าที่ตื่นมา เกือบลุกไม่ขึ้นแน่ะ เพราะปวดหลังมาก
คงเพราะขับรถนาน ไม่เคยขับคันนี้นานขนาดนี้มากก่อน
ถ้าเป็นคาริเบี้ยนคันสีขาวลายจุดในตำนานนะ จะใส่เบาะ Recaro แบบรถแข่ง
ขับทั้งวันทั้งคืนก็ไม่ปวดหลัง
 
ข้ามฝั่งไปประเทศลาว ประมาณบ่าย 2
แล้วก็พาขบวนคาราวานไปเที่ยวน้ำตกตาดฟาน อยู่ชานเมืองปากเซ
เป็นน้ำตกที่เกิดจากธารน้ำสองสาย ที่ไหลผ่านขุนเขา มาตกลงที่หน้าผาเดียวกัน
สูงถึง 120 เมตร ตรงจุดชมวิวที่สวยที่สุดเป็นที่พักชื่อ ตาดฟานรีสอร์ท
บรรยากาศดีมากๆ อากาศดีด้วยเพราะอยู่บนเขาสูงประมาณ 400 เมตรจากระดับน้ำทะเล
ราคาประมาณ 36 usd เจ้าของเป็นคนไทยด้วย
 
กลับจากน้ำตก ก็เข้าเมืองปากเซ เมืองหลวงของแขวงจำปาสัก ทางตอนใต้ของลาว
อยู่ห่างจากด่านช่องเม็ก แค่ 42 กิโลเมตรเท่านั้นเอง
ที่ชื่อเมืองว่าปากเซ ก็เพราะเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ตรงปากแม่น้ำเซ ที่ไหลมารวมกับแม่น้ำโขง
เมืองนี้ ฝรั่งเศสได้มาสร้างไว้ เพราะเห็นว่าทำเลดี และเพื่อคานอำนาจกับเมืองจำปาสักที่อยู่อีกฝั่งลงไปทางใต้
 
เข้าพักที่โรงแรมแสงอรุณ ราคาคิดเป็นเงินไทยประมาณ 800 B/คืน
 
ตกดึกก็ไปหาที่ดื่ม ไปกับสมาชิก พวกก็เขาเลี้ยงเบียร์เพื่อเป็นค่าปิดปาก
เพราะบอกเมียว่า มาดูบอล แต่จริงๆ คือมาหาสาวๆ ในเมือง
เลี้ยงใช่มั้ย ดีมาก ผมก็เลยสั่งแบบไม่เกรงใจ เบียร์ลาวมาเลยไอ่น้อง
เบียร์ลาว เบา รสนุ่ม ดื่มง่าย เมาง่าย หลับง่าย ตื่นง่าย
 
*ภาษาลาว เขาจะเรียกขวดว่า แก้ว แล้วแก้ว เขาจะเรียก จอก
 
Day 4 ปากเซ-สะหวันนะเขต-เซโน-ลาวบ่าว
 
ออกจากปากเซ ตี5 ครึ่ง เพื่อพาขบวนคาราวานไปถึงด่านลาวบ่าว (ชายแดนลาว-เวียตนาม)
ก็ถึงประมาณ 11 โมงครึ่ง
ตอนแรกว่าจะข้ามไปเวียตนามด้วย
แต่ถูกสั่งงานให้ไปสำรวจเส้นทางสาย อัตตะปือ -18 เบ (ชายแดนลาว-เวียตนามอีกที่)
 
พอส่งขบวนคาราวานเสร็จ ก็ขับรถกลับปากเซ
ขาไป ใช้ความเร็ว 140 km/h
ขากลับขอชิลล์ ชมวิว เปิดกระจกรับลมเย็นๆ ที่ความเร็ว 90 km/h
ฝั่งลาว ครึ้มๆ ฝนตกบางช่วง ไม่รู้ว่าเมืองไทยฝนตกหรือเปล่า
ก็ดี ทำให้ได้บรรยากาศที่ชิลล์ดีมาก เย็นสบายดี
เส้นทาง ปากเซ-สะหวันนะเขต-ลาวบ่าว ประมาณ 460 กิโลเมตร
ไปกลับก็ 920 กิโลเมตร เติมน้ำมันไปสองถังเต็มๆ
สองพันกว่าบาท
ขาไป ใช้เวลา 5 ชั่วโมง ขากลับ 7 ชั่วโมง
 
แต่การขับเรื่อยๆ ทำให้ไม่ทันพระอาทิตย์ตกที่ปากเซเลย
ไม่เป็นไร อาบน้ำเสร็จ แล้วออกไปเดินเล่นริมโขง
ชมบรรยากาศปาร์ตี้ช่วงสงกรานต์แบบลาว
แล้วก็ไปนั่งที่ร้านเหล้าร้านหนึ่ง
เป็นร้านเดียวที่มีดนตรี folk song ของเมืองนี้
ก็เลยถูกใจสิ มีเน็ตให้เล่นด้วย ดีๆ
จะได้ส่งเมล ให้ใครต่อใคร คิดถึงเหลือเกิน
ไม่ได้คุยกับใครเลย
เล่นเน็ตไป ดื่มเบียร์ลาวไป
พอเริ่มกึ่มๆ ก็ขึ้นไปแจมกับวงดนตรีที่นี่
วงที่นี่ เล่นเพลงไทย กับ เพลงสากล เป็นส่วนใหญ่
ร้องชัดนะ ทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ
แต่การเอื้อน ลูกคอ และโซโล่กีต้ารนี่ ติดสำเนียงลาวอยู่
บางเพลง เป็นแจ๊ซ แบบลาวๆ เออ ก็เพราะไปอีกแบบ
อย่างนี้ต้องขอแจม
ผมก็ขึ้นไปเล่น "แรงดึงดูด" เขาก็รู้จักกันอีก
เลยมีคนขอ "เธอเห็นท้องฟ้านั่นไหม" มาอีก
เขาว่า คนลาวก็รู้จัก ที-โบน เหมือนกัน เอาไว้ต้องบอกพี่แก๊ปให้มาเล่นที่นี่ซะแล้ว
แล้วก็เล่นเพลงฝรั่งหน่อย "Tears in Heaven" ปิดท้ายด้วยโซโล่เพลง "Hotel California"
เสียดายไม่ได้เอากล้องไป อดถ่ายรูปตัวเองตอนเล่นเลย
 
คืนนี้พักที่เกสต์เฮาส์(เฮือนพัก) ถูกๆ จำชื่อไม่ได้แล้ว
200 B/คืน
 
Day 5 ปากเซ-บ้านสะพาย
 
ตื่นเช้ามาถ่ายรูปแม่น้ำโขงยามเช้า แล้วก็ไปเดินตลาด
วันนี้มีโปรแกรมว่าจะไปเที่ยว "บ้านสะพาย"
เป็นหมู่บ้านอยู่ชานเมืองปากเซ ตั้งอยู่บนดอนกลางแม่น้ำโขงต้องนั่งเรือเลาะลำโขงไป
เป็นหมู่บ้านที่ขึ้นชื่อเรื่องผ้าไหม ทุกหลังคาเรือนจะมีที่ทอผ้าอยู่ใต้ถุนบ้าน
เนื่องจากไปช่วงเทศกาลสงกรานต์ เลยไม่มีใครมานั่งทอให้เห็น
 
ที่ลาว งานสงกรานต์ หรือวันปีใหม่ จะคึกคักกว่าปีใหม่สากลมากๆ
 
คืนนี้ก็ได้นอนฟรี
หมู่บ้านใหญ่พอสมควร แต่ไม่ถึงขนาดหมู่บ้านจัดสรรในกรุงเทพฯ
มีวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นพร้อมๆ กับหมู่บ้าน
 
ก้าวแรกที่ก้าวเข้าหมู่บ้าน ก็พบกับบรรยากาศการต้อนรับอย่างเป็นกันเองสไตล์ลาว
ซึ่งก็ไม่ต่างจากคนไทยในชนบทมากนัก แต่ที่นี่จะดูจริงใจ และเป็นกันเองกว่า
ทุกคนจะทักทาย ยกมือไหว้ บางคนก็จับมือ "สบายดี(สวัสดี)"
พอถึงบ้านที่จะอยู่ ซึ่งเป็นบ้านของไกด์ชาวลาวที่ทำงานด้วยกันคราวนี้ ชื่อ ท้าว วินัย
นั่งปุ๊บ เบียร์ก็มาปั๊บ โอ่ กูยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย
ช่วงเทศกาล ที่นี่เขาจะดื่มกัน ตั้งแต่เช้า ยันค่ำ เขาไม่ดื่มกลางคืนกัน
ดื่มกันทุกเพศทุกวัย ทุกเพศทุกวัยจริงๆ เห็นตั้งแต่เด็กอายุประมาณ 6 ขวบดื่มเบียร์
ไปจนถึง กลุ่มคุณยาย อายุไม่น่าจะต่ำกว่า 70 นั่งก๊งเบียร์กันสนุกสนาน
 
ช่วงกลางวัน ผมก็ถูกพาไปบาสี (บายศรี) จากพวกผู้ใหญ่ของหมู่บ้าน (รวมถึงกลุ่มยายแก่ก๊งเบียร์นั่นด้วย)
ตอนผูกข้อมือ เขาก็อวยพรเรา เราก็ต้องรับขวัญด้วยการยกมืออีกข้างขึ้นมาไว้ตรงแถวๆ ขมับ
แล้วระหว่างที่ผูก เขาก็จะมีของกินมาให้มือข้างที่ถูกผูกถือไว้ แล้วเราต้องกินให้หมด เพื่อเป็นสิริมงคล
แล้วพวกเขา เอาเบียร์มาให้ผมถือ แก้วแล้ว แก้วเล่า สาดด มอมกันนี่หว่า
มีเอาเหล้าโท มาให้ด้วย คือหัวเชื้อก่อนจะไปผสมเป็นสาโท
หวานมากๆ กินไปสองแก้ว ปวดหัวเลย แรงมาก แต่ตอนกินนี่ไม่รู้สึกเลย
เหมือนกินน้ำหวานธรรมดา เหล้าขาวมันยังร้อนๆ ไอ่นี่ไม่เลย
 
คนลาวมีเล่นมุกด้วย เวลาเปิดฝาขวดแล้วดัง ป๊อก ก็จะมีคนเอามือปิดตาแล้วร้อง โอ๊ยยๆ
แล้วผมก็เป็นคนบอกว่า เย้ย ฝาอยู่นี่ ฮาไป
อีกอันนึง มีคนลาวคนนึงมาแนะนำตัวว่าชื่อ อ๋อง
ตาลุงที่กำลังเมาได้ที่ก็ทักว่า อ่อ มาจากเมืองเจินเซินอ่ะนะ
แล้วก็มีคนแก้ เฮ้ยย นั่นมันหนังจีนแล้ว ท่านอ๋องๆ
ฮาไป
 
วันนี้ไม่มีการเล่นน้ำ เพราะเป็นวันสรงน้ำพระ ช่วงบ่ายก็เลยไปดู
 
จากนั้นเหล้าโทก็ยิ่งออกฤทธิ์แรงขึ้น เลยขอไปนอนพักก่อน
แล้วก็ตื่นมาไม่ทันพระอาทิตย์ตกอีก
มันจะมี ดอนหิน กลางแม่น้ำโขง ทอดยาว แทบจะเดินข้ามฝั่งได้ สวยมากๆ
เลยอยากได้ภาพตอนแสงสวยๆ
 
คนที่นี่นอนกันเร็วมาก 3 ทุ่มคือทุกหลังปิดไฟหมดแล้ว
แล้วก็นอนไม่ค่อยหลับ เพราะคนที่นี่ นอนกรนกันสนั่นบ้านมากๆ
ดีนะเอาวอล์คแมนไป ไม่งั้นไม่ได้นอนแน่ๆ
 
Day 6 บ้านสะพาย-ปากซอง-ท่าแตง-เซกอง-อัตตะปือ
 
ตื่นเช้ามาถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้น กับดอนหินกลางลำโขง
แล้วก็ลงไปอาบน้ำกลางแม่น้ำโขง ฮ้า สดชื่น
เสร็จแล้วก็กินข้าวเช้า
คนที่นี่เขาตื่นกันตั้งแต่ตี4 แต่กินข้าวกัน 8 โมง
ใช้เวลาทำกับข้าวกัน ชั่วโมงครึ่ง
ผมตื่นตั้งแต่ 6 โมง หิวแทบตาย
อย่างว่า เขาไม่มีความจำเป็นต้องเร่งรีบนี่นะ
ไอ่เรามันเคยชินว่า ตื่นมาก็หาอะไรกินก่อน ก็ทนหิวกันไป
ก็ดี ได้กินอาหารแบบลาวแท้ๆ ขอย้ำว่า แท้ๆ
เพราะไม่ใช่ไปกินตามร้านอาหาร แต่กินจากฝีมือชาวบ้านนี่แหล่ะ
 
กินข้าวเสร็จ ก็ไปงานรำวงกลางแจ้ง ซึ่งเป็นประเพณีของที่นี
วงดนตรีก็จะเล่นแต่เพลงแบบหมอลำ นานๆ จะมีเพลงไทย
แล้วก็จะเป็น คาราบาว กับ พงสิทธิ์ คัมภีร์
นั่งอยู่นิ่งๆ ได้ไม่นาน ก็มีสาวลาวน่าตาน่ารักมาชวนได้เต้น
ก็เลยต้องออกไป ที่นี่เวลาใครมาชวนไม่ว่าจะให้ดื่มหรือให้เต้น
ห้ามปฏิเสธ มันจะเสียมารยาทมากๆ ซีเรียสๆ
ไอ่เราก็ไม่รู้สเตปลาว รำวงก็บ่เป็น ก็โซโล่เลย
โจ๊ะๆ สไตล์เนนี่แหล่ะ แล้วก็เป็นที่ฮือฮาเลย
หลังจากนั้น ก็มีแต่คนลากไปเต้น มากมายหลายรอบ
โอ่ ไม่น่าเลยกู -*-
 
สนุกสนานพอประมาณ แล้วก็ต้องทำตามแผนที่วางไว้
บ่ายโมงต้องออก เพื่อไปอัตตะปือ คืนนี้ต้องนอนที่นั่น
แต่แล้ว ก็ช้า เพราะคนที่นี่เขาจะไม่ยอมให้กลับ
มีบอกให้อยู่ที่นี่เลย เดี๋ยวหาเมียให้ เอางั้นเลย
แต่แล้วก็แอบชิ่งออกมาได้ ไม่ดีเลย ไม่ได้บอกลา ไม่ได้ถ่ายรูปกันเลย
แต่เขาไม่ยอมให้กลับจริงๆ ก็ไม่มีทางเลือก
 
ก็เป็นว่า ออกจากเมืองปากเซ บ่าย 3
เติมน้ำมันเพิ่ม 500 B แล้วก็กินข้าว
แล้วก็ไปอัตตะปือกันเลย ระหว่างทางจะผ่านเมือง ปากซอง-ท่าแตง-เซกอง
ถึงอัตตะปือประมาณ 6 โมงครึ่ง
ระยะทางประมาณ 200 กิโลเมตร เป็นทางที่ผ่านเขตชุมชนและตัวเมืองเยอะ
จึงทำความเร็วไม่ได้มาก
ความเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ 90 km/h ทางตรงอาจจะเร่งได้ถึง 120 km/h
ช่วงผ่านชุมชมก็ควรจะอยู่ที่ 70 km/h เพราะคนที่นี่ไม่ค่อยชินกับการมีรถผ่าน
ไหนจะวัว ควาย หมู หมา แพะ ที่มักจะขวางถนนอยู่เสมออีก
ขับรถในลาวจะค้นพบว่า แตร มันมีประโยชน์อย่างมาก
มันไม่ได้เอาไว้ด่าพวกขับรถงี่เง่าเท่านั้น
 
ทางจากปากเซไปอัตตะปือ ก็วิวสวย ผ่านหมู่บ้านของชนพื้นเมืองในลาวเยอะ
ทางก็ขึ้นเขาลงเขานิดๆ หน่อยๆ โค้งก็ธรรมดา ไม่อันตราย
 
เข้าพักที่โรงแรมจำปา 400 B/คืน
 
Day 7 อัตตะปือ-18 เบ-ปากเซ-ช่องเม็ก-กรุงเทพฯ
 
และแล้ว วันที่เหนื่อยที่สุดของการเดินทางก็มาถึง
 
ต้องออกจากอัตตะปือ ตี5 ครึ่ง วิ่งไปด่าน 18 เบ
เพื่อไปรับคณะคาราวานที่กลับจากเวียตนาม
เส้นทาง คดเคี้ยว ขึ้น-ลงเขา ชันนิดหน่อย แต่ก็อันตรายเหมือนกัน
ใครเข้าโค้งไม่เก่ง เบรกกิ้งไม่เป็น เปลี่ยนเกียร์ไม่คล่อง อย่าได้ขับ
อาจถึงตายได้ เพราถนนไม่มีไหล่ทาง แฉลบไปก็คือลงเหว
ขับไปแล้วรู้สึกคล้ายๆ ทางที่ไปเมืองจีน ไม่ก็ ทางจากตากไปแม่ฮ่องสอน
โค้ง Hair Pin เยอะมากๆ นึกถึงเรื่อง initial D เลย "ทางลงเขาอากินะ"
ทำความเร็วได้อย่างมากก็ 90 km/h ส่วนความเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ 60 km/h
แต่เส้นทางสวยมากๆ วิ่งผ่านขุนเขา ท่ามกลางป่าไม้อันอุดมสมบูรณ์ อากาศดีๆ หมอกจางๆ ยามเช้า
 
ไปถึงด่าน 7.30 ระยะทาง 110 กิโลเมตรใช้เวลา 2 ชั่วโมง
นั่งกินกาแฟ ถ่ายรูปไปเรื่อย แล้วก็ขอตำรวจลาวเพื่อไปด่านฝั่งเวียตนาม
เขาก็ให้ไป
ด่านฝั่งเวียตนามอยู่ห่างจากฝั่งลาว ประมาณ 1 กิโลเมตร
พอไปถึง ก็ขอเจ้าหน้าที่เวียตนามไปเหยียบดินเวียตนาม เขาก็ให้อีก
แต่พอเข้าไป เกินได้ 2-3 ก้าว ก็มีเจ้าหน้าที่อีกกลุ่มมาขอดู passport
ผมก็ไม่มีวีซ่า เลยโดนไล่กลับลาว
 
รถขบวนคาราวานมาถึง ประมาณ 9.15 แล้วก็ออกจากด่าน 9.30
ขากลับก็ใช้เวลาเท่ากัน ไม่ว่าใช้รถอะไร เส้นทางมันก็บังคับความเร็วในตัวอยู่แล้ว
ก็กินข้าวเที่ยวกันที่อัตตะปือ แล้วก็กลับปากเซ ซื้อของฝากกัน
แล้วมาทำเรื่องเข้าประเทศไทยที่ช่องเม็ก
พอข้ามมาฝั่งไทย เหล่าสมาชิกต่างก็แยกย้ายกันไป
จบคาราวาน
 
แต่ทริปนี้ยังไม่สิ้นสุด
ผมต้องกลับบ้านอีก
กะจะยิงตรงดิ่งถึงบ้านเลย
เนื่องจาก ออกจากด่านช้า รถเยอะ รถติด เลยถึงบ้านซะ ตี4
จากที่กะไว้คือ ถึง ตี 1
สรุปวันนี้ขับรถไป เกือบ 10 ชั่วโมง มีเวลาพักแค่ตอนกินข้าวเที่ยง กะตอนเติมน้ำมัน
สมองก็ไม่อยู่ในสภาพที่จะจำได้ว่า เติมไปเท่าไร แต่คิดว่า น่าจะประมาณ 2000 B
 
แต่ก็ถึงบ้านโดยปลอดภัย
มีแต่คนเป็นห่วง ขอบคุณนะคร้าบบ
 
ปล.
จบทริป "ขับรถเที่ยว ลาว-ปากเซ"
รวมระยะทางทั้งหมด ไปกลับก็ น่าจะประมาณ 3500 กิโลเมตร
ค่าน้ำมัน น่าจะประมาณ 8000 B
เวลาที่ขับรถทั้งหมด ประมาณ 48 ชั่วโมง
ขับรถได้สนุกดีมากๆ เลย ไม่ได้ขับทางไกลมานานแล้ว
ได้ซิ่งทางขึ้น-ลงเขา แอบดริฟท์ ไป 2 โค้ง
แต่กลัวรถพัง เพราะมันไม่ใช่รถแต่ง เลยแค่ 2 โค้งก็พอ
ระหว่างทางกลับ ก็มีช่วงนึง ง่วงมากๆ ก็เลยเหยีบซะ เกือบ 170
แซงกันแบบ เฉียดฉิว พอดี คนนั่งเขาหลับ ถ้าตื่นอยู่ อาจจะหัวใจวายได้
ก็ไม่ได้ขับแบบนี้มานานมากเหมือนกัน เหมือนได้ปลดปล่อย
 
ฮ้า จบซะที ม่วนซื่นหลายเด้อ
Categories: Travel

A rough plan to “Ko Tao”

April 3, 2007 10 comments
 
ร้อนจะตายห่าอยู่แล้วเนี่ย
อย่างนี้ต้องไปเที่ยว
สานต่อโครงการฯ คราวนี้ภาคฤดูร้อน
อากาศร้อน มันก็ต้อง ทะเล
ไม่ได้ดับร้อนหรอก แต่ทำให้ลืมความร้อนไปได้
 
แผนการคร่าวๆ สำหรับทริปท่องทะเลใต้ที่เกาะเต่า
 
จุดหมายปลายทาง: เกาะเต่า-เกาะนางยวน จ.สุราษฐ์ธานี
ระยะเวลา: 4-5 วัน ชิลล์มากก็ 6 วัน
ช่วงเวลา: ช่วงกลางเดือน พค. (หลังวันที่ 11 พค. ถ้าเป็นวันธรรมดาจะดีมาก)
 
การเดินทาง: เกาะเต่าไปเกาะเต่า
              ไม่ใช่แล้ววว!!!
ไป-กลับ ไม่เกิน 1500 B มีให้เลือกหลายแบบดูซะ
1. ขึ้นรถที่ตรอกข้าวสาร เหมาแพกเกจ รถ+เรือ กรุงเทพฯ-เกาะเต่า 1300-1400 B (ไป-กลับ)
    รถจะออกประมาณ 3 ทุ่ม ถึงชุมพรเช้า
    เรือออก 7 โมง ใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง ถึงเกาะตอนสายๆ หรือเกือบเที่ยง(ขึ้นอยู่กับคลื่นลม)
2. นั่งรถบขส. ไปชุมพร แล้วนั่งเรือโดยสารสุดชิลล์ ออกจากท่าเที่ยงคืนถึงเกาะเต่า 6 โมงเช้า
    ค่ารถประมาณ 400 B ส่วนค่าเรือ 200 B
3. ชิลล์สุด นั่งรถไฟไป ค่ารถไฟประมาณ 370 B แล้วไปนั่งเรือโดยสารสุดชิลล์แบบข้อสอง
 
*แบบที่ 2 กับ 3 ขากลับจะกลับไงก็ว่ากันอีกที ยังไงก็ไม่เกิน 700 B
**ราคาก็ไม่ได้ต่างกันมาก ต่างกันที่บรรยากาศ
***ไอ้เรือโดยสาร 6 ชั่วโมงนั่นน่ะ น่านั่งมากๆ เป็นแบบเรือประมงที่ดัดแปลงแล้ว ก็คงเหมือนกับเรือตังเกที่นั่งไปสเม็ดแหล่ะ
****เดินทาง กลางคืน กลางทะเล กลางหมู่ดาว กลางสายลม โอ้…ชิลล์
 
ที่พัก: ไม่เกิน 600 B/คืน ที่เล็งไว้ก็ 300 B/คืน(มีราคาต่ำจนถึงคืนละ 100 B แต่ไม่มั่นใจในสภาพ)
        มีให้เลือกมากมาย หลายที่ รอบเกาะ ต่างที่ ก็ต่างบรรยากาศ
        บางที่เห็นพระอาทิตย์ตก บางที่เห็นพระอาทิตย์ขึ้น ถ้าอยากดูทั้งขึ้นทั้งตก คงต้องพักทั้งสองที่
 
*เกาะเต่า มีเนื้อที่ 21 ตรกม. เท่านั้น เดินวันเดียวก็รอบเกาะแล้ว
**ใครที่อยากนอนเต็นท์ ก็ไปกางนอนหน้าห้องที่พัก หรือที่ชายหาดก็ได้ ถ้าทางที่พักไม่มีเต็นท์ให้ เดี๋ยวเอาไปเองเลย^^;
 
กิจกรรม: มีอะไรให้ชิลล์มากมายดังนี้
1.ดำน้ำตื้น รอบเกาะ ก็เหมาเรือไปแล้วเช่าอุปกรณ์
(ราคาที่เคยหาได้คือ 650 B/คน ทั้งวัน ดูแพง เพระเป็นเรือใหญ่)
หลังจากหาข้อมูลเพิ่มเติมก็พอได้มาว่า เหมาเรือหางยาวเอา ประมาณ 1500 B/วัน
ค่าเช่าอุปกรณ์ ไม่น่าเกิน 100 B/วัน จุดดำน้ำตื้นก็มีเยอะ บางอ่าวไม่ต้องจ้างเรือก็ได้ ว่ายออกไปจากฝั่งก็พอได้แล้ว
2.สำรวจรอบเกาะ ถ่ายรูปสวยๆ จะเดินก็ได้ เช่ามอไซก็ได้(200-300 B/วัน) ชิลล์กันได้ทั้งวันทั้งคืน
3.พายเรือคายัค เป็นอีกหนทางหนึ่งในการออกไปดำน้ำด้วย ค่าเช่าเรือประมาณ 400-500 B/ครึ่งวัน หรือ 100 B/ชั่วโมง
4.ไปชิลล์ที่เกาะนางยวน ใกล้ๆ กัน มีเรือรับ-ส่ง ค่าโดยสาร 40-100 B(ข้อมูลไม่ชัดเจน)แต่มันเป็นเวลา ออก 10 โมง รับกลับ 4 โมง
   อาจจะเหมาไปเองแล้วนัดเวลากลับเอาเองก็ได้ เผื่ออยากอยู่นานๆ ในช่วงแดดยามเย็น ถ้าแบบนี้ค่าโดยสารก็ประมาณ 150  B/คน
   บนเกาะนี้ก็ดำน้ำได้เลย รอบๆ เกาะสวยมากๆ
มีเท่านี้ล่ะมั้ง…?
 
*เหตุที่พักบนเกาะนางยวนไม่ได้ เพราะที่พักราคาต่ำสุด 1500/คืน ห้องพัดลมเล็กๆ ธรรมดาๆ สำหรับสองคน – -"
 
อาหารการกิน: ราคาอาหารที่นั่น ก็ราคามาตรฐานสำหรับบนเกาะ ใครที่ไปสเม็ดมาก็น่าจะเข้าใจดี
แต่ร้านอาหารอร่อยๆ ไม่แพง ก็มีบ้าง ก็พวกร้านอาหารที่ไม่ใช่ของที่พักแหล่ะ
พวกร้านอาหารดั้งเดิมเปิดมาตั้งแต่เกาะเต่ายังไม่ดัง
มีหลายๆ คนบอกมาว่าที่พักบางที่ ถูกก็จริง แต่อาหารแพง แถมบังคับให้เราสั่งไม่งั้นมันจะไล่เรา
(โดยเฉพาะพวกฝรั่งจะโดนกันเยอะ)
เหล้า เบียร์ ก็ราคามาตรฐานอีกเช่นกัน เตรียมไปเองจะดีกว่า(ปกติก็อย่างนี้นี่)
 
นี่แหล่ะข้อมูลเท่าที่นึกออกตอนนี้ รายละเอียดยังมีอีกมากมาย
 
สรุปคร่าวๆ ก่อนเลย
เอาแบบสไตล์ เน เลยละกัน
วันแรก: ขึ้นรถไฟไปชุมพร ออกจาก กทม. บ่าย 2 ถึงชุมพร ประมาณเกือบ 4 ทุ่ม
         นั่งเรือตังเกไปเกาะเต่า ออกเที่ยงคืน ถึงเกาะ 6 โมงเช้า
วันที่ 2 : ขึ้นเกาะแล้วก็นั่งกินกาแฟ+อาหารเช้ากัน ที่ร้านกาแฟที่อร่อยที่สุดของเกาะเต่า(สงสัยมีร้านเดียว)
          เป็นร้านกาแฟที่ "ลุง" ผู้บุกเบิกเกาะนี้จะมานั่งเกือบทุกเช้า
          จากนั้นเราก็ตลุยหาที่พักกัน ถ้าจองไว้ก่อนก็ต้องเดินหาอยู่ดี แต่ถ้าดุ่มๆ ไปหาที่นั่นสดๆ ก็สนุกไปอีกแบบ
          พักผ่อน สำรวจรอบๆ ชิลล์ไปเรื่อย
วันที่ 3: ดำน้ำๆๆ ทั้งวันไปเลย
วันที่ 4: ไปอาบน้ำ อาบแดด ดำน้ำ ดำแดด กันที่เกาะนางยวน อยู่ทั้งวันไปเลยอีกเช่นกัน
วันที่ 5: อำลาจำจากกันได้แล้ว หรือจะชิลล์อีกวันก็ไม่ว่ากัน
         ใครใคร่ดำน้ำ ดำ ใครใคร่พายเรือ พาย ใครใคร่เดิน เดิน ใครใคร่ขขับมอไซ ขับ
         ใครเกิดความใคร่ ก็จัดการเอาเอง
วันที่ 6: เฮ่อ…เหนื่อย กลับกันจริงๆ ได้แล้ว
 
แถมท้ายประวัติเกาะเต่าละกัน
แต่เดิมนั้นเป็นที่ซุกซ่อนของพวกโจรสลัด
ต่อมาเป็นที่พักตากอากาศของทหารอเมริกันสมัยสงครามเวียดนาม
ต่อมาเป็นที่คุมขังนักโทษ แบบเกาะตะรุเตา
ต่อมาเป็นที่ที่นักท่องเที่ยวจากเกาะพะงัน และเกาะสมุยใช้แอบมาดูดปุ๊น
ต่อมาก็เริ่มมีคนมาอยู่ เป็นชาวบ้าน
ต่อมาก็เริ่มฮิต ยิ่งเห็นเกาะนางยวนก็ยิ่งฮิต
ต่อมาก็พบว่า เป็นแหล่งดำน้ำที่สุดยอด
ตอนนี้ก็เลยดังใหญ่ไปทั่วโลก
แล้วก็ วุ่นวาย อย่างที่เป็นตามกระแสไป…
 
ps. you can make your "comment" about my "rough plan to Ko Tao"
       or "sign up" if you’d like to enjoin — just tell me by post your comment.
       anyone who wants more detailed-info. you can talk to me…(I’m so lonely now)
       or you who wants pictures: tell me and I’ll send them to you; I have a lot.
Categories: Travel

คุณรู้จักความร้อนดีพอหรือยัง?

April 2, 2007 1 comment
 
อยู่บ้านร้อนๆ ไม่ชอบ
ชอบร้อนกว่า
 
ออกไปเดินตลาดนัดสวนจตุจักรมา
ตอนแรกไม่มีเพื่อนไป
ชวนใครต่อใคร(ที่อยากชวน) ก็ไม่ว่างกันเลย
พอดี จิ๊บ ใจง่าย ชวนก็ไป
ก็เลยไปกับ จิ๊บ
 
เดินทั้งแต่ 11 โมง ยัน 5 โมงเย็น
โห่ ร้อนสุดๆ
ข้างนอกมันร้อนอย่างนี้นี่เอง
อยู่บ้านแล้วไม่ค่อยรู้สึก
เพราะใจมันมัวแต่ฟุ้งซ่าน
 
อยากไปทะเลขึ้นมาทันตาเห็น
(ก็อยากไปมานานแล้ว ไปมาแล้ว กลับมาแล้ว ก็อยากไปอีก)
แม้จะร้อนตับแตกไส้ทะลักยังไง
ก็คงจะไม่รู้สึกถึงมัน
เพราะมัวแต่อินกับบรรยากาศ
สายลมไหว โชยเอื่อย
หาดทรายสีขาว ท้องทะเลสีคราม
แสงจันทร์สะท้อนผืนน้ำส่องเป็นแสงสีเงิน
ดวงดาวโผล่ผุดขึ้นมามากมาย เหมือนเวลาน้ำลดแล้วเห็นรูปู
โอ้…ชิลล์ดีแท้
 
เดินจตุจักรวันนี้ ก็ได้ของติดไม้ติดมือมา
ก็ไปซื้อของนี่นะ
ไปซื้อพลั่วขนาดพกพา แบบพับได้
ไว้ติดรถ เผื่อเวลาติดหล่มจะได้ไม่ต้องใช้มือขุดติดอย่างที่เคย
ว่าจะซื้อกางเกงเล กะเสื้อสำหรับฤดูร้อน ไว้ใส่ไปลาว
ก็ลืม…
(ไว้ซื้อที่ลาวก็ได้)
แล้วก็ได้หนังสือนำเที่ยวทะเลและเกาะต่างๆ ในประเทศไทย 2 เล่ม
เป็นภาษาอังกฤษ (ข้อมูลเยอะกว่า ตรงไปตรงมากว่า ทั้งยังบอกที่พักทุกระดับราคา)
เล่มแรก Thailand’s Beaches & Islands (Rough Guides)
เล่มสอง Thailand’s Islands & Beaches (lonely planet)
…ชื่อมันคล้ายๆ กันเลยแฮะ !?
ส่วนจิ๊บก็ไปซื้อถุงเท้า กับ อาหารหมา
เจ๊เขาเกือบจะชิมอาหารหมาก่อนซื้ออยู่แล้ว
ดีนะ ห้ามไว้ทัน
 
จากจตุจักร ก็นัดเจอ ฝน (เพื่อนร่วมโต๊ะ ที่จะไปอังกฤษ กค. นี้แล้ว – -")
แล้วไปงานบายเนียร์โต๊ะกัน
กินกันอิ่มหนำสำราญ ต่อด้วยเบียร์อีก 2 เหยือก
หลักๆ ดื่มกันอยู่สองคน เน กะ โบ
คนอื่นๆ ก็แจมๆ นิดๆ หน่อยๆ
พี่กู๋ (เอาขนมมาฝาก อร่อยมากๆ) ก็แอบจิบๆ ทั้งที่ปกติไม่ดื่ม
ไอ่ยอด ไม่มา จริงๆ คือมาไม่ทัน แล้วพวกเราขี้เกียจรอ
ก็เลยกลับกันก่อน ประมาณ 4 ทุ่ม
ถ้ามันตามไป ก็คงไม่เจอใครล่ะนะ
ให้ ฝน ไปส่งที่ซอยอารีย์ แล้วก็ต่อ taxi กลับบ้าน
ของหนักมาก พลั่วตั้ง 3 อัน
 
จะว่าไป ก็มีแพลนไปเกาะเต่า
เกาะเต่าๆๆ
ช่วงกลางเดือน พค.
เกาะเต่า จ.สุราษฐ์ธานี อยู่ทางเหนือของเกาะ พะงัน และเกาะสมุย
เกาะเต่าจะมีเกาะนางยวนที่อยู่ติดๆ กัน
เกาะนางยวนเป็นเกาะเล็กๆ สามเกาะที่เชื่อมถึงกันด้วยหาดทรายแคบๆ พอเดินได้
 
เกาะเต่า – เกาะนางยวน เป็นที่ดำน้ำ(scuba) ที่สวยที่สุดและถูกที่สุดในอ่าวไทย
มีโรงเรียนสอนดำน้ำที่ถูกทีสุดในโลก
เป็นแหล่งดำน้ำที่ดี เพียบพร้อม และสวยเป็นอันดับ 2 ของโลก (รองจากออสเตรเลีย)
แต่ไม่ต้องไปสนใจหรอก เพราะผมไม่ชอบดำน้ำแบบ scuba
 
รายละเอียดไว้จะบอกอีกทีละกัน
 
ว่าด้วยที่อยากไปเกาะเต่าดีกว่า
เริ่มจาก หวาน ชวนไปเกาะเต่าประมาณ 2 เดือนที่แล้ว
ก็ออกปากไว้ก่อนว่า ‘ไป" — ใจง่ายน่ะ
โดยที่ไม่ได้รู้รายละเอียดอะไรสักเท่าไหร่
แล้วอย่างที่บอกในบล็อกอันที่แล้วว่า ผมไม่ค่อยเชี่ยวเรื่องเที่ยวเกาะ
แต่มีแพลนคร่าวๆ ว่าจะไป หมู่เกาะสุรินทร์ ก็คิดว่ามันไม่น่าไป
เพราะฝั่งนั้น ช่วง พค. ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้จากมหาสมุทรอินเดียพัดผ่านพอดี
อาจเกิดภาวะ พายุเข้า ฝนตกหนัก คลื่นลมแรง ออกเรือไม่ได้ หรืออาจต้องติดเกาะเป็นอาทิตย์
แต่ฝั่งอ่าวไทย ไม่มีปัญหา เที่ยวได้ทั้งปี เพราะแนวเทือกเขาตะนาวศรี(มั้ง)ขั้นกลาง วางตัวขวางอยู่
ทำให้ลมมรสุมอันนั้นมีผลน้อยมากในอ่าวไทย
จากสถิติปริมาณน้ำฝนเมื่อเทียบกันทั้งสองฝั่งในช่วงลมมรสุมเข้า
จะพบว่า ฝั่งอันดามันฝนจะตกมากกว่าฝั่งอ่าวไทย 2-3 เท่าเลยทีเดียว
(ข้อมูลทั้งหมดได้จากหนังสือนำเที่ยวที่เพิ่งซื้อมานี่แหล่ะ ดูวิชาการดีมะ)
ก็เลยหาเกาะฝั่งอ่าวไทยเที่ยว
ก็เลยนึกถึงเกาะเต่าที่ หวาน เคยชวน
ก็เลยลองหารูปดู
ก็เลยเห็นว่ามันสวยโคตร
ก็เลยชอบ
ก็เลยอยากไป
ก็เลยเสนอให้ไป
ก็เลย ส รุ ป ว่า ไปเกาะเต่า
 
ไปทำความรู้จักกับความร้อนกันเถอะ(เข้าประเด็นหัวเรื่อง)
 
บอกแล้วไงว่า รายละเอียดจะบอกอีกที
 
ปล.ทำไมช่วงนี้กูอัพเสปซบ่อยจังวะ?
Categories: Travel

ทะเล สายลม หาดทราย แสงเทียน สะพานปลา เสียงคลื่น กระติก น้ำแข็ง โซดา แสงโสม กีตาร์ เก้าอี้ชายหาด ฟ้าสาง และเธอ…

March 21, 2007 21 comments
 
กลับมาจากทริปสุดยอด — เกาะสเม็ด เสร็จกันไปทุกราย
 
– สุดยอดกับความชิลล์
– สุดยอดกับความสนุก
– สุดยอดกับความเฮฮา
– สุดยอดกับการโวยวาย
– สุดยอดกับการเมา (ทั้งเหล้า ทั้งคลื่น ทั้งรถ)
– สุดยอดกับความทรงจำ
 
อารมณ์ยังค้างอยู่เลย รู้สึกไม่อยากกลับบ้าน
อยากอยู่กับอารมณ์อย่างนั้น ความรู้สึกดีๆ อย่างนั้น ตลอดไป
 
ก็คงหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว
อย่างเดียวที่ทำได้ก็คือ
 
เก็บความทรงจำดีๆ
ที่มีความรู้สึกดีๆ
เก็บเอาไว้ในที่ดีๆ
 
ออกเดินทางกันด้วยรถ บขส. กับสมาชิก 34 ชีวิต
ข้ามไปเกาะสเม็ด ด้วยเรือตังเก ช้า แต่ก็ชิลล์ดี เล่นเอาเมาคลื่นกันไปหลายต่อหลายคน
ถึงเกาะประมาณ บ่ายๆ
 
ทริปนี้ ไม่มีการรับรู้เรื่อง วันและเวลา ลืมทุกอย่างที่มีในชีวิตประจำวัน
คงเป็นเพราะเกาะ มันเป็นเกาะที่แยกออกไปอยู่กลางทะเล
ทำให้เราตัด และทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้ที่ฝั่งได้
เรื่องราวเก่าๆ ความทรงจำแสนเศร้า ความเจ็บปวดที่เคยมีมา โลกและสังคมที่สุด น อ ย
เหลือไว้แต่เพียงความฝัน ความสนุก การปลดปล่อยตัวตนไปสู่ความชิลล์ที่รอเราอยู่
 
ด้วยความซ่า พอถึงเกาะ ผมก็โดดลงจากเรือแล้วว่ายน้ำเข้าฝั่งซะเลย
ไม่มีการเตรียมตัวไว้ก่อน พอโดดลงไป ตะคริวก็เริ่มทำงานที่ฝ่าเท้าข้างซ้ายทันที
รอดตัวมาได้ด้วยความคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี
ที่สำคัญ กว่าจะถึงฝั่งเนี่ย เหนื่อยมากมาย มันไกลกว่าที่คิดไว้เยอะเลย
กว่าจะถึงจุดที่ตื้นพอจะยืนได้ ก็แทบตายแน่ะ นี่ขนาดฟิตร่างกายมาก่อนแล้วนะ
 
แล้วไอ้ฝ่าเท้าข้างซ้ายเนี่ย มันก็เป็นตะคริวอีก 2-3 ครั้ง ทำให้ปวดมากๆ
ต้องเดินกะผกกะเผก ก็ทิ้งน้ำหนักไปที่ข้างขวามากเกินจนปวดส้นเท้าขวาอีก
โอยย… ป ว ด -*-
แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคใดๆ ต่อการดำเนินความชิลล์
ไม่ว่าจะเป็นการเดินไปสะพานปลากับเส้นทางสุดโหดสำหรับคนเจ็บตีน
และการกระโดดด้วยท่าพิสดารจากสะพานปลา
ฮุ้ง ก็ทักว่า — ต้องสำออยหน่อยสิ lol
เรื่องแน่ะ !!!
ข้าไม่ยอมให้อุปสรรคใดๆ มาบั่นทอนความชิลล์ไปได้หรอก ^^;
เว้นก็แต่อาการเมารถอย่างรุนแรงตอนขากลับ -*-
วิงเวียน ตาลาย คลื่นไส้ ครบสูตร เกือบอ้วกไปรอบนึง แต่ยั้งไว้ทัน
ลงจากรถแล้วนึกว่าจะหาย ที่ไหนได้ ยิ่งกว่าเดิมอีก เดินแทบไม่ไหว แบกของหนักๆ อีก
เฟิร์น ก็ชวนไปสยามก่อนกลับบ้าน ก็เลยได้นั่งพัก ไม่กล้ากินอะไรเลย เดี๋ยวมันจะออกมา เสียดายของ
 
คืนแรกแห่งความชิลล์ ก็มีการเปิดสาขากินเหล้า
ผมเองก็ยึดกีตาร์มาตัวนึง ขลุกตัวอยู่สาขาสอง
สาขาแรกก็หน้าบ้านพัก คนเยอะ เสียงดัง วุ่นวาย โวยวายมาก ดูน่าสนุก แต่ยังไม่ใช่อารมณ์นี้
ก็เลยมาเปิดสาขาสอง ตรงที่นั่งริมหาด รับลม ฟังเสียงคลื่นประสานกับเสียงเพลงเพราะๆ จากผมเอง
เพื่อนๆ ก็เมามายกันไปตามเรื่องตามราว
ไอไก่ ก็ถ่อยไป ไอโน้ต ก็บ้าๆ ไป ไอโดม ก็โวยวายท้าชนแก้วไม่เลือกหน้าไป
พยายามจะมอมเหล้า ฮุ้ง แต่ตัวเองโดนมอมเสียเอง
ตอนแรก ก็ดื่มชิลล์ๆ ดีอยู่ พอไอโดม มาท้าชน ก็เปิดสวิตช์ความโหด เลยสั่ง จ๊อก ขอเข้มๆ ระดับศาสตราจารย์เลยพวก
มันชงมาให้ จากกลิ่นและรสชาด คาดว่าใส่เหล้าไม่ต่ำกว่าครึ่งแก้วแน่นอน
มึนเลย เล่นกีตาร์ร้องเพลงมั่วซั่วไปหมด
คืนนี้ก็รักษาคอนเซปไว้ได้ คือ "อยู่เป็นคนสุดท้าย" (ดัดแปลงจากเพลงพี่อ่ำ — "กลับคนสุดท้าย" ที่ขุดขึ้นมาเล่น หลังจากรู้ว่าคนข้างๆ ก็ชอบพี่อ่ำเหมือนกัน)
แต่ไม่อยู่จนเห็นแสงตะวัน เพราะว่าหาดที่อยู่นี่มันหันหน้าไปทางทิศใต้ (รู้ได้จากการไปแอบดูดาว ^___^)
 
ยามนอน ไอจ๊อก อุตส่าห์จัดที่นอนไว้ให้ เตียงเดี่ยวด้วย
ถึงไอเป้ จะแย่ง แต่มันก็อุตส่าห์เว้นที่ให้
แต่ผมกลับ ค่ำไหนนอนนั่น ไม่ใช่สิ ต้องบอกว่า เช้าไหนนอนนั่น
เลยไปนอนกะกริบส์ที่ห้อง sand room เลย
 
ที่มาของห้อง sand room ก็มาจากทริประยองครั้งที่แล้วนั่นเอง
 
เช้ามา พวกก็ตื่นกันไปกินข้าว ไม่ปลุก ไม่ชวนกันเลย
แต่ตื่นมา รู้สึกปวดหัวมากๆ ไม่ใช่แฮงค์แน่นอน
ไม่ได้เมาขนาดนั้น แค่กึ่มๆ มึนๆ
ที่ปวดนี่ ก็ปวดแบบที่เคยปวด คือปวดจี๊ดๆ ตุบๆ ทำอะไรไม่ได้เลย
กินยาไป ก็ไม่ช่วยอะไรเลย กว่าจะหาย ต้องไปวิดพื้น 20 ทีซะเลย (ไม่ได้เกี่ยวกันเลย แต่มันหายจริงๆ นะ)
 
วันนี้ กินข้าวมื้อแรกตอนประมาณบ่ายสอง
เสร็จแล้วก็ไปเล่นไพ่ ซัดสาโทวอร์มเครื่องก่อน
แล้วก็ลงทะเล
 
วันแรกไม่ได้ลง เพราะมัวแต่ง่วนอยู่กับสายกีตาร์ (ซึ่งพอใส่ครบ ก็ทำขาดอีก ขาดสายสี่ซะด้วย สายบาดนิ้วเลย เจ็บชิหาย)
 
พวกไอโน้ต จ๊อก เบส มันก็ชวนไปสะพานปลา
ว่ายน้ำไป… *_*
โอ๊ะ ไม่เอาด้วยหรอก ไอ้บ้า ปวดตีนอยู่
เดินไปดีกว่า  ^_^
ใกล้จะถึงอยู่แล้ว เมฆครึ้มมาเลย เดินกลับก็ได้วะ -*-
ไปเล่นลิงชิงบอลดีกว่า แล้วฝนก็กระหน่ำตกลงมา
หลบฝนดีกว่า แต่ไอ้พวกบ้าก็ยังเล่นกันต่อ จนฝนหยุด
ดีมาก จะได้ไปสะพานปลากัน ไปประชันท่าโดดน้ำกัน
แล้วก็ได้ ถี บ ไอแอ้ ตกสะพานด้วย มีหลักฐานเป็นวีดีโอด้วย
เดี๋ยวอังคารหน้าก็จะได้ดูกัน
 
ค่ำคืนที่สองนี้ ผมกลับมาปักหลักอยู่สาขาหนึ่ง จนพรรคพวกมาทักว่าให้ไปเปิดสาขาสอง
ไม่เอาอ่ะ ตรงนี้แหล่ะ กะลังได้ที่
กีตาร์ก็อยู่ตรงนี้แล้ว แหกปาก โวยวาย ร้องเพลง บ้าๆ บอๆ กันไป
มีทั้งเพลงสไตล์เป้ เพลงอั๋นที่มันเล่นตอนเมาแล้ว เพลงต้อมที่เล่นอยู่เพลงเดียวแต่ยาวสัด และเพลงสไตล์เน ร้องซ้ำไปซ้ำมา ไม่จบเพลงซะที
ช่วงเวลาแหกปากโวยวายก็ผ่านพ้นไป นิ้วก็เจ็บแสบจนเกินจะเล่นต่อไหว เปิดเพลงดีกว่า
เข้าสู่โหมดแห่งความสงบ ชิลล์ได้อีก นั่งคุยกันไป พวกสาขาสองก็ออกไปที่หาดกันไป
ร้องเพลงตามกันไป กับเพื่อนรู้ใจ แสงโสมนั่งไง
ให้ แตง ลิ้มลองสาโท กะแสงโสม ถึงกับจะอ้วก โอ…ผมผิดไปแล้ว _|-|O
แล้วความสงบก็หายไป เมื่อลาก แอ้ กลับมา
แอ้ ที่เมาหลับไปแล้ว เพื่อนๆ คิดถึง ไอเบส เลยจัดให้ ไปอุ้มมันมาจากเตียงทั้งๆ ที่มันหลับอยู่
มันก็งงๆ มาถามอีกว่า มาอยู่ตรงนี้ได้ไง พวกเราเลยตั้งฉายาให้ว่า
แอ้เตียงลอย จากนิทานเตียงลอย
 
คืนนี้ก็ยังคงรักษาคอนเซปไว้ได้ สุดท้ายเหลือผมกับ กล้า สองคน ดวดเหล้าที่เหลือให้หมดไปเลย
ตอนแรกก็ไม่ง่วงหรอก ทั้งๆ ที่ฟ้าเริ่มสางแล้ว ก็คิดอยู่ว่าถ้านอนไม่หลับจะทำยังไงดีในเมื่อคู่ชิลล์ผมเข้านอนไปแล้ว
แต่พอซัดเหล้าที่เหลือกับ กล้า ก็บรรลุสู่สัจธรรมทันที โลกหมุนติ้วๆ เมาแล้วนั่นเอง เมาแน่นอน
เล่นดื่มผสมกันมั่วไปหมด 100pipers แสงโสม สาโท แถมโซดากะน้ำเปล่าหมด ต้องผสมสไปรท์อีก
โอยย…ไม่เมาก็ไม่ใช่คนแล้ว
ดีนะบอก จิ๊บ ไว้ก่อนว่าให้เว้นที่ให้ด้วย เพราะคงเดินกลับห้องตัวเองไม่ไหวแน่ๆ
ไม่งั้นอาจจะมีคนพบศพ ไอเนเมาตาย อยู่ที่ชายทะเล
เลยต้องกลับมาตายรังที่ห้อง sand room กันอีกที
เข้าไปนอน ฮุ้ง ก็เล่าว่า เข้ามาแล้วก็พูดมาก เพ้อเจ้อ ไม่ยอมนอน คนอื่นเขานอนกันหมดแล้ว
เลยโดนอุดปาก ปิดตา แล้วผมก็หลับไป ไม่รู้เรื่องรู้ราว จำได้แค่เลือนลาง
 
เช้ามา เอาอีกแล้ว พรรคพวกครับ กินข้าว ไม่ปลุก ไม่ชวน .\ /.
ต้องให้ จ๊อก มาปลุก
ตื่นมาก็พบกับสายฝนที่กระหน่ำลงมาโดยไม่มีวี่แววว่าจะหยุด
เลยไม่ได้กลับฝั่งตามเวลาที่กำหนดไว้ ต้องอยู่ต่อรอฝนหยุด ไม่งั้นพวกเราอาจโดนคลื่นลมที่รุนแรงซัดตายหมู่ได้
ฝนหยุดประมาณบ่ายสองกว่าๆ เรือก็มารับประมาณบ่ายสาม ก็กลับฝั่ง สู่โลกแห่งความเป็นจริง
ขากลับนั่งสปีดโบท อยู่หน้าเรือ สนุกโคตรๆ คลื่นแรงๆ สูงๆ เนี่ย เสียวสุดๆ
 
นั่งเรือ ไม่เมา แต่นั่งรถ เมาแทบตาย
 
ปล.
 
– ทริปนี้ จบลงด้วยอารมณ์ค้าง ที่เต็มไปด้วยความรู้สึกดีๆ
– แอบซึ้งนิดๆ อยู่คนเดียว ไม่มีใครรู้
– กล้า ชนแก้วกับ เฟิร์น แล้วบอกว่า "วันวานยังหวานอยู่"
– เฟิร์น ขี้เยอะ ทำส้วมเต็มไปห้องนึงเลย
– อั๋น เมา อ้วกแตก ล้างชักโครกที่เฟิร์นขี้ ทำให้กลับมาใช้ได้เหมือนเดิม
– ไอไก่ไปแดกส้มตำที่ วงเดือน แล้วมันก็ท้องเสีย ขี้ไป เท่าที่นับได้ — 7 รอบ o_0
– ไอเป้ มันบ่น จึ่ง… -*-
 
ถึงเธอผู้ร่วมชิลล์ — แม้คราวนี้จะอยู่ไม่ถึงเช้า แต่ก็ขอบคุณนะที่ยังร่วมชิลล์กันอยู่ อยู่กับเธอแล้วรู้สึกสบายใจ และรู้สึกดีมากๆ เลย
ถึงผู้ร่วมชิลล์อีกคน — แม้เธอจะแอบหลับตอนไปนั่งที่ชายหาด แต่ก็ยังอยู่ด้วยกัน ไม่รู้เราทรมานเธอหรือเปล่า อย่าว่าเรานะ ไปว่าคนแรกไป
ถึงคนนอนข้างๆ คืนแรก — แกเบียดเราจนตกร่องเตียงเลยนะ ยัยบ๊อง แถมยังไม่ยอมปลุกอีก
ถึงคนนอนข้างๆ คืนสอง — อ่าว…คนเดียวกะอันแรก ก็ขอบคุณที่เว้นที่ให้นอนและช่วยอุดปากปิดตาให้หลับละกัน
ถึงคนนั่งข้างๆ บนรถขาไป — ทำไมเราไม่ปรับเบาะกันนะ จะได้นอนสบายๆ ไม่ปวดคอ
ถึงคนนั่งข้างๆ บนรถขากลับ — มึงเอาแต่ฟังเพลง แล้วก็หลับ กูไม่มีเพื่อนคุยเลยเมารถเลย
ถึงคนที่ตามมาตอนเย็น — มึงนี่ คราวนี้ไม่น้ำลายย้อยแล้วหรือวะ
ถึงคนที่ตามมาวันที่สอง — โถเธอ เราไม่ได้ตั้งใจมอมเธอนะ แค่อยากให้ลองเฉยๆ ว่าแต่ เธอนี่อยู่แค่คืนเดียว แต่คุ้มดีนะ ครบสูตรเลย
ถึงไอ้คนแย่งเตียง — มึงต้องอยู่ให้ถูกที่สิวะ จะได้ไม่จึ่ง
ถึงคนซัดเหล้าด้วยกันจนหมด — นายแน่มาก วันวานยังหวานอยู่
ถึงคนที่กลับบ้านด้วยกัน — อ่าว…คนที่นั่งข้างๆ ขาไปนี่หว่า ก็ขอบคุณที่เป็นห่วงนะ
ถึงคนที่ร่วมทริปกันครั้งแรก — หลายคนเหมือนกัน อยากบอกว่า สนุกมากๆ เลยนะ
 
ขาดใครไปคนนึงไม่ได้เลย ทุกคนมีความหมายในการร่วมสร้างความทรงจำ ความรู้สึก
 
ถึงไอ้เตียงลอย — เอาแต่คุยโทรศัพท์นะมึง
ถึงคนที่มีฉายาว่า ลำยอง — แซวกันอยู่นั่นแหล่ะ ฮึ่ย!!! เดี๋ยวเป็นข่าวจนได้
ถึงคนที่กลับจากญี่ปุ่นแล้วไม่บอก — หลอกกันได้นะ ฮึ่ม!!!
ถึงคนที่เอากีตาร์ไปอีกตัว — ไม่มีมึงคงแย่หนักหว่ะ ขอบใจสำหรับสายกีตาร์สำรองเว้ย
ถึงคนที่เมาเรือสปีดโบท — อยู่กับมึงแล้วกูเหนื่อยหว่ะ
ถึงคู่รักทุกคู่ในทริป — ยินดีที่รักกันนะ รักกันมากๆ (แอบหมั่นไส้หว่ะ ไม่แน่กูอาจจไม่ได้เมารถหรอก เลี่ยนพวกมึงนั้นแหล่ะ)
ถึงทุกคนผู้ร่วมทริป ผู้ร่วมทาง ผู้ร่วมชิลล์ — ถ้าไม่ใช่พวกเธอ พวกแก พวกมึง ก็คงไม่ได้ความรู้สึกดีๆ อย่างนี้
 
เป็นเพื่อนกันตลอดไปนะโว้ย
เพื่อนน่ะ ยิ่งมีเยอะยิ่งดี แต่แฟนน่ะ มีคนเดียวดีกว่านะ
 
ถึงตัวเอง — ทำเป็นซึ้งนะ ไอ้ฟาย
Categories: Travel

เชียงราย – เชียงใหม่

January 15, 2007 2 comments
 
ทริปนี้ ไปช่วยพี่ชายทำงาน
นำกรุ๊ปทัวร์ไปเที่ยว
ประเด็นหลักของทัวร์นี้คืองานพืชสวนโลก
แต่พวกลุงๆ ป้าๆ ลูกทัวร์อยากไปเชียงราย
อยากไปหลายๆ ที่
เอาให้คุ้มว่างั้น
แม่ง 3,500 บาท ต่อคน
เที่ยวสามวัน รวมค่ารถตู้ ค่าน้ำมัน ที่พัก อาหาร 7 มื้อ ค่าเข้างานพืชสวนโลก ค่าเข้าพระตำหนักดอยตุง
โห…แม่งคุ้มสัด แต่กูกะพี่ชาย เหนื่อยสัด! แถมได้กำไรไม่คุ้มค่าเหนื่อยเลย
แต่ก็ถือเป็นประสบการณ์ เพราะทริปนี้ จัดการทุกอย่างกันแค่สองคน
ลูกทัวร์ก็เรื่องมากฉิบหาย แต่เอาเหอะ…ช่างแม่ง
 
มาอ่านเรื่องกูเองดีกว่า
 
เริ่มที่วันศุกร์ ออกจากบ้านบ่ายสองกว่าๆ พุ่งไปสระบุรีเพื่อไปรับลูกทัวร์
ที่บ้านมีเบียร์ลาวอยู่สิบกว่ากระป๋อง เสือกลืมเอาไป เซ็งเลย โดนพี่กูด่าตลอดทางเลย
เลยต้องเลี้ยงเหล้ามันแทน
แล้วซวยอีก เสือกเจอคนขับรถแบบน่ารำคาญสุดๆ
คนนึงก็พูดมาก ขี้โม้ ตอแหล ขี้หลี อีกคนก็เอาแต่ตัวเองสบาย
ไอ้ฟาย กูจ้างมึงมานะเว่ย
ที่สำคัญ ขับรถห่วยแตกทั้งคู่เลย ขนาดกูนั่งหน้ายังเมารถได้
ในโลกนี้คงมีพี่กูคนเดียวที่ขับแล้วกูไม่เมาหล่ะ
พอถึงทางขึ้นเขาลงเขา ไม่ไหวแล้ว กูขอขับเองดีกว่า
แม่ง เลี้ยงครัชได้ห่วยมาก เข้าโค้งก็ไม่รู้จังหวะเบรก
กูขับเองดีกว่า ให้มันรู้ซะ ว่าขับรถขึ้น-ลงเขานี่ เขาต้องทำกันยังไง
แต่ก็คงไม่รู้เรื่องหรอก แม่งโง่!
 
ถึงเชียงรายตรงไปที่วัดร่องขุนก่อนเลย ถึบเร็วเกินคาด–ตี 4
วัดยังไม่เปิดเลย เออดี กูจะได้นอน
วัดนี้ ไม่รู้ว่ามันมีประวัติที่มายังไงเหมือนกัน แต่มันประดับด้วยแก้วๆๆๆ
เป็นวิหารสีขาว ข้างในมีประติมากรรม ภาพวาด
แล้วก็เจออาจารย์เฉลิมชัย ก็เลยคิดว่า แกคงออกแบบมั้ง ข้างในก็คงเป็นงานของแกหล่ะ
ว่าจะเข้าไปคุย แต่ขี้เกียจ แม่งน่ารำคาญ
ตื่นมาตอน 6 โมง แม่งกูอุตส่าห์รอให้ตะวันสาดแสงจะได้ถ่ายรูป
หมอกเสือกลงหนาโคตรๆ ก็เลยถ่ายรูปหมอกแทน ส่วนวัด–ช่างแม่ง
 
ตอนกลางวัน ไปสามเหลี่ยมทองคำ
เจอสาวเกาหลี 4 คน กำลังจะต่อรถไปแม่สาย (น่ารักมากๆ หน้าสไตล์เกาหลีเลย)
ท่าทางคุยกะสองแถวไม่รู้เรื่อง ก็เลยอาสาเข้าไปช่วย "อย่างบริสุทธ์ใจ"
สรุปคือ รถเขาหมดรอบแล้ว ต้องเหมาเท่านั้น พวกเจ๊แกก็เลยไม่ไปแล้ว
เพราะรอเพื่อนอีก 6 คนอยู่
วะ…กูกะจะไปส่งแล้วพาเดินตลาดซะหน่อย เซ็งเลย ผิดแผน
เลยต้องกลับไปหาพี่ กลับไปตายรัง ไปหงุดหงิดกะลูกทัวร์และก็คนขับรถต่อ
 
บ่ายๆ ก็ไปแม่สาย ก็ไม่มีอะไร เดินมาไม่รู้กี่รอบแล้ว มันก็เหมือนเดิมทุกที
 
ไปที่เชียงรายดีกว่า ตอนเย็นถึงเชียงราย เข้าที่พัก ไปกินข้าว + เหล้า
แล้วก็ไปเดินไนท์บาร์ซ่า เจอสาวเกาหลีอีก กรุ๊ปเดิม แต่ไม่สนใจแล้ว… เหนื่อย
เจอแม่ด้วย แม่กูเอง จัดทัวร์มาเชียงราย – เชียงใหม่เหมือนกัน
แต่เจอกันโดยบังเอิญที่ไนท์บาร์ซ่า ก็เลยนั่งกินส้มตำกะแม่ก่อน
กินเสร็จ แม่ถาม "จะกินเบียร์ป่าว"
เกรงใจแม่ก็บอกไม่เป็นไร แต่จริงๆ แล้วคือ กินเหล้ามา แล้วกินเบียร์ไปแล้วอีกขวด
ที่เกรงใจก็คือ เกรงใจตัวเองน่ะ
แยกจากแม่มาเดินตลาดคนเดียว ชิลล์มากๆ พอได้ของติดไม้ติดมือบ้าง
พอตลาดเริ่มปิด ร้านค้าเริ่มเก็บ ก็เดินกลับที่พัก ชิลล์มากๆ อากาศเย็นๆ ยามค่ำคืนในตัวเมืองเชียงราย
โง้ยย…ยิ่งทำให้อยากไปปายมากขึ้นไปอีก
 
ตอนเช้าต้องรีบตื่นแต่เช้า ตี 5 ครึ่ง เพื่อเตรียมอาหารเช้า
แล้วจะได้รีบไปงานพืชสวนโลก
 
เข้างานพืชสวนโลกตั้งแต่เที่ยง บอกลูกทัวร์เลย มึงเดินกันเอง กูจะเดินคนเดียว
โ น ส น
สองทุ่มเจอกันที่ทางออก
แล้วก็เดิน เดิน เดิน เดิน เดิน เดิน
กูเดินรอบงานไปประมาณ 2-3 รอบได้มั้ง
แม่งไม่ค่อยมีอะไรเลย งั้นๆ แหล่ะ จัดทำไมวะ เปลืองตัง
กูไปดูดนตรีดีกว่า มีโชว์กลองไทโกะ ที่เวทีวัฒนธรรมเพราะช่วงนี้เป็นสัปดาห์วัฒนธรรมญี่ปุ่น
แล้วก็ไปดูดนตรีแจ๊ซที่คีตอุทยานต่อ
เสือกเป็นวงของไทย เล่นไม่ค่อยดีเลย
แต่ก็เอาวะ ชิลล์
 
เสร็จงาน งานจบ ออก ขึ้นรถ แดกข้าว กลับ
ถึงบ้าน 6 โมง ตลอดทางก็ไม่นอน มีงีบบ้าง แต่ไม่ถึงห้านาทีหรอก
เลยหลับแบบเอาตายที่บ้าน ถึงสี่โมงเย็น แบบไม่รู้เรื่องเเลย
งง ตื่นมาสี่โมงละ เหมือนหลับไปห้านาที
แต่ร่างกายก็ฟื้นแล้ว หัวก็ไม่ปวดแล้ว
เออ ไปคราวนี้เจอกาอาศเย็น 9 องศา ยิ่งตอนเช้าของวันอาทิตย์ 6 องศา
เพราะออกไปนอกตัวเมือง
หนาวจนกูปวดหัวเลย ทรมานชิหาย
แต่เป็นความทรมานที่กูชอบ
อากาศดีๆ เย็นๆ บรรยากาศชิลล์ๆ ปวดหัวให้ตายก็ยอม
นี่แหล่ะ รสชาติของชีวิต มันต้องเจ็บปวด ทุกข์ทน ทรมาน ขมขื่น
จริงๆ ถ้ากินเหล้าก็คงช่วยได้ ให้ร่างกายมันอุ่นๆ หน่อย ให้เลือดมันเดินคล่องตัวหน่อย
แต่กินตลอดทางก็ไม่ได้ เดี๋ยงทำงานไม่รู้เรื่อง
แค่อดนอนนี่ก็เบลอๆ แล้ว
 
คราวนี้เอากล้องไปด้วย แต่เนื่องจากไม่ได้จับนาน
ปรับมั่วซั่วไปหมด ไม่รู้รูปจะเป็นไง
น่าจะเอา minolta ตัวเก่าคร่ำครึไป ไม่มีระบบวัดแสง
ถ่ายแบบดิบๆ นี่แหล่ะ สไตล์กูเลย ใช้ sense วัดแสงแล้วปรับมั่วๆ เอา
 
 
ปล.รายงานยังไม่เสร็จ
    หนังสือยังไม่ได้อ่าน
    มีงานรออยู่อีกเพียบเลย
    วุนวายจริงๆ ชีวิตก็งี้แหล่ะ "มันจะมีอะไรมาก"
Categories: Travel

กลับมาแล้วโว้ยย…

December 17, 2006 6 comments
เขาใหญ่
อุณหภูมิเฉลี่ย
กลางวัน 21-22 องศาซี
กลางคืน 16-17 องศาซี
หูยย…หนาวมากมาย
 
 
เปิดตัวด้วย การนอนบนรถแบบเอาตาย เพราะคืนก่อนไม่ได้นอนเลย
ถึงที่พัก โห อากาศเย็นชิหายเลย
เดินป่า กันสนุกมากๆ แต่มีพวกติ๋มเยอะแยะ ใส่ถุงกันทากกันใหญ่เลย
บอกว่าไม่มีก็ไม่เชื่อ…สมน้ำหน้า เสีย 20 บาทฟรีเลย
 
ตกเย็น โอ้ เย็นจริงๆ อาบน้ำเย็นให้สะใจโก๋หน่อย
ด้วยการใช้สบู่ Protect สูตรเย็น ตอนฟอกไม่เท่าไร แต่ตอนล้างออกนี่สิ
จะให้กูอาบน้ำแข็งยังได้เลย !?
เสร็จแล้ว ไม่มีผ้าเช็ดตัว ต้องไปยืนตากลมให้ตัวแห้งอีก
หนาวบรรลัย!!!
จากนั้น ก็ทาแป้งเย็นตรางู พริกลี่ฮีท โอ๊ยย สุดยอดดดดด!!!
 
ส่องสัตว์ตอนค่ำๆ ก็ไม่มีอะไรมาก ก็ไม่พ้น เก้ง กะ กวาง มากมาย
แต่ทีเด็ดคือ สุนัขจิ้งจอก ที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก
คุ้มๆ แอบหยอดเงินไปร้อยนึงแน่ะ
 
และแล้ว เรื่องสุดเซ็งก็เกิดขึ้น
เมื่ออากาศเย็นอย่างนี้ แล้วคนอย่างผมหรือครับจะพลาดเรื่องเหล้า
แต่ดันไม่ได้ซื้อขึ้นมา เพราะขามา หลับตลอดทาง…โอ ช่างน่าเศร้า
ก็เลยเปิดมินิคอนเสิร์ตแทน เพราะมากๆ เลย
 
ที่สำคัญ เราช่วยกันจับหมูป่า จนได้มาตัวนึง
หลายคนคงคิดว่าเป็นน้องแนน ปี 2
แต่ไม่ใช่ ผมพูดถึง เกมไพ่จับหมู ไม่ใช่หมูจริงๆ
พอเอาไปเล่นในป่า ก็เป็น จับหมูป่า
หมูป่าประจำทริปนี้ก็ได้แก่ น้องเหวิน ปี 1 เย่ๆๆๆๆ(เสียงเย่)….แปะๆๆๆๆๆ(เสียงปรบมือ)
 
เพราะไม่มีเหล้า ก็เลยนอนเร็ว ตี 1 กว่าๆ เองง่ะ
กะจะโต้รุ่งซะหน่อย
 
 
วันต่อมา ตอนเช้าก็ไปส่องนก
มีกล้องโทรทรรศน์ให้ส่องด้วย
แต่ดูๆ แล้ว ไม่เห็นจะดูช่องไหนได้ซักช่องเลย
(มุกคนบรรยายนำดูนกนะ ไม่ใช่ของกู)
เจอนกมากมายเลย
ทั้งนกเขา
นกกระเต็น
นกเงือก(สวยมาก)
นกปรอทท้องเหลืองสดใสน่ารัก
นกแอร์สองลำ
นกสองหัว
(มุกพี่เขาน่ะ)
 
ขากลับก็เปิด มินิคอนเสิร์ตบนรถอีกหน่อย
แล้วก็หลับแบบเอาตายอีกรอบจนถึงมหา’ลัย
 
ทริปนี้ มันชิลล์มากๆ เลย
ขาดตรงที่
เรามีเวลาส่วนตัวน้อยกันไปหน่อย
ไม่ได้ปั่นจักรยานเสือภูเขา หรือ mountain tiger bike
(มุกน้องบุ๋ม)
ไม่มีเครื่องดื่มยามดึก
ไม่อย่างนั้นนะ ครบสูตรชิลล์
 
 
ปล1.ทริปนี้มีงูด้วยแหล่ะ…วะฮ่าๆ
ปล2.ไม่มีรูปให้ดูง่ะ เพราะว่ากล้องเราโดนแย่งไปหมดเลย ทั้งดิจิตอลทั้งฟิล์ม
ปล3.ไม่ได้เอาเสื้อกันหนาวไป หนาวโคตรๆ (ที่เห็นใส่นั่นเป็นเสื่อวอร์มที่ใช้ใส่เวลาวิ่ง ไม่ได้ช่วยกันหนาวซักเท่าไหร่เลย) เพราะเสื้อกันหนาวโดนแย่งไปหมดเช่นกัน
ปล4.ที่เป็นเช่น ปล2-3 เพราะพี่กูขโมยเอาไปเชียงใหม่ โดยไม่บอกกูก่อน
Categories: Travel

ไปชิลล์ที่เขาใหญ่กันดีกว่า…

December 11, 2006 3 comments
ไปเขาใหญ่ป่าว…? ไปชิลล์กัน
มันใหญ่มากเลยนะ แล้วเราก็จะได้ชิลล์กันได้มากๆ
อยากไปค่าย แต่ค่ายเต็ม
ไม่เป็นไร เราไม่ง้อ กนศ. ที่ห้องมันเหม็นเน่า
เราไปเองก็ได้…
 
อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ปากช่อง โคราช (15-17 ธันวาคม 2549)
 
รายละเอียด มีดังนี้
1. ออกเดินทางวันศุกร์
2. กลับวันอาทิตย์
3. ไป 3 วัน 2 คืน
4. คนไปน้อยก็นอนเต๊นท์
5. คนไปเยอะก็จองบ้านพัก (12 คน)
6. มีเหล้าขาว หรือวอดก้า หรือไม่ก็เทกิล่า ให้บริการ
7. อากาศดีๆ ต้องกินเหล้าแรงๆ สิ
8. สัมผัสบรรยากาศ จับหมูกลางป่าเขาใหญ่
9. รับประกันความชิลล์ ดูดาวยามค่ำคืน
 
จริงๆ มีอีกหลายข้อ แต่ให้มันจบที่ "9" ก็แล้วกันเนอะ
 
เอาหล่ะ ใครจะไปร่วมก๊วนขบวนการ ก็มาลงชื่อมา รับไม่จำนวนจำกัด
หรือมีความคิดเห็นอะไรเสนอ ก็ลงไว้เลยมา…ให้ว่อง ไปวันศุกร์นี้แล้ว
 
ปล1. เราต้องไปถึงปากช่องก่อน 6 โมงนะ ไม่งั้นเข้าอุทยานฯไม่ได้
ปล2. ถ้าจะไปรถไฟ ก็ มีรอบ 11.40 ถึงปากช่องประมาณ 4 โมง
ปล3. คือคงต้องออกเช้าๆ สายๆ ไม่เช้ามาก หล่ะนะ ไม่งั้นคงไปไม่ทัน ไม่ว่าจะรถทัวร์หรือรถไฟ
ปล4. รู้สึกว่า รถไฟจะถูกกว่านะ
ปล5. เออ ห้ามนำเครื่องดนตรีทุกชนิดเข้าอุทยานนะ
Categories: Travel